เทคโนโลยี “เลเซอร์” เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
โดย...นพ.วรวัฒน์ ศิริปุณย์ สูตินรีแพทย์ เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชโรงพยาบาลเวชธานีลาดพร้าว111
ปัญหามีบุตรยาก ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความไม่สมบูรณ์ของเชื้ออสุจิ หรือไข่ เพียงเท่านั้น แต่อาจเกิดขึ้นหลังการปฏิสนธิ แล้วตัวอ่อนไม่สามารถฟักตัวออกจากเปลือกไข่ได้ นับเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ที่มักพบได้บ่อยเช่นกัน
ทำไมต้องช่วยฟักตัวอ่อน ตัวอ่อนที่ปฏิสนธิภายนอกร่างกายด้วยวิธีการอิกซี ในบางครั้งพบว่าตัวเปลือกมีความผิดปกติ หรือมีความหนาของเปลือกไข่มากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฟัก หรือออกมาจากเปลือกไข่ได้ ส่งผลให้ตัวอ่อนเสียชีวิตอยู่ภายในเปลือกไข่ เช่นเดียวกับลูกเจี๊ยบที่ไม่สามารถเจาะออกจากเปลือกไข่ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง เพราะตัวอ่อนไม่สามารถออกมาฝังตัว แต่หากเราช่วยให้เปลือกไข่บางลง หรือทำให้เกิดรู จะทำให้ตัวอ่อนออกจากเปลือกได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสฝังตัวในโพรงมดลูกมากขึ้นสามารถเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้
เทคโนโลยีที่กล่าวมานี้ คือ การช่วยฟักตัวอ่อนจากเปลือกไข่ โดยในอดีตจะใช้เข็มเจาะเพื่อเปิดเปลือกไข่ต่อมาเปลี่ยนเป็นการใช้สารเคมี และในปัจจุบันได้ใช้เลเซอร์เข้ามาช่วยในการเจาะเปลือกไข่ วิธีดังกล่าวเรียกว่า LAH (Laser Assisted Hatching) ซึ่งการใช้เลเซอร์นั้น มีความแม่นยำสูง ไม่เป็นอันตรายต่อตัวอ่อนและยังเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์อีกด้วย
ผู้ที่เหมาะสมกับการใช้เลเซอร์เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ 1. ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการใช้วิธีอิกซีในรอบก่อน 2. เป็นผู้ป่วยที่มีโอกาสในการตั้งครรภ์ต่ำ พยากรณ์โรคไม่ดี และ 3. เป็นตัวอ่อนที่ผ่านกระบวนการแช่แข็งมาก่อน
นอกจากการช่วยตัวอ่อนฟักตัวออกจากเปลือกไข่ด้วยเลเซอร์แล้ว บางกรณีจะเจาะเปลือกไข่และนำเซลล์ ของตัวอ่อนออกมา เพื่อทำการตรวจคัดกรอง และวินิจฉัยโครโมโซมของตัวอ่อน ก่อนการฝังตัว (PGS/PGD :Preimplantation Genetic Screening/Diagnosis) เป็นการนำเซลล์ของตัวอ่อนในระยะ 3 หรือ 5 วัน ที่ได้จากการทำอิกซี มาตรวจวินิจฉัย เพื่อดูว่าตัวอ่อนมีความผิดปกติของจำนวนโครโมโซมหรือไม่ จากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่สมบูรณ์ใส่กลับสู่โพรงมดลูก เพื่อให้เกิดกระบวนการตั้งครรภ์ต่อไป
ผู้ที่เหมาะกับการทำPGS/PGD 1. คู่สมรสที่มีประวัติความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ที่อาจถ่ายทอดสู่ทารกได้ เช่น ธาลัสซีเมีย 2. ครอบครัวมีประวัติคลอดเด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด หรือมีโรคที่ผิดปกติทางพันธุกรรม 3. มีประวัติการแท้งบ่อย 4. บุตรคนก่อนป่วยเป็นโรคที่อาจรักษาโดยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากบุคคลอื่น ที่มีความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ 5. คู่สมรส ที่ฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่า 35 ปี มีโอกาสเกิดความผิดปกติของจำนวนโครโมโซม ทำให้บุตรที่เกิดมา มีโอกาสเป็นดาวน์ซินโดรมสูง 6. ไม่ตั้งครรภ์ 2 ครั้งติดต่อกันจากการรักษาโดยการทำอิกซี
วิธีการตรวจวินิจฉัย นำตัวอ่อนที่ได้จากการทำอิกซี ในระยะ 3 หรือ 5 วัน มาเจาะบริเวณเปลือกให้เป็นรูเล็กๆ ด้วยเลเซอร์ แล้วใช้แท่งแก้วขนาดเล็ก ดึงเซลล์ที่อยู่ภายในตัวอ่อนออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาตรวจด้วยวิธีที่เรียกว่า CGH (Comparative Genomic Hybridization) หรือ NGS (Next Generation Sequencing) ซึ่งเป็นการตรวจโครโมโซมครบทุกคู่ รวมทั้งโครโมโซมเพศด้วย หลังจากนั้น จะทำการย้ายตัวอ่อน เฉพาะตัวที่โครโมโซมปกติเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
ข้อดี 1. เพิ่มอัตราการตั้งครรภ์จากการทำอิกซี 2. ลดอัตราการเกิดความผิดปกติของโครโมโซมของทารก และ 3.ลดอัตราการแท้งบุตร การดูดนำเซลล์จากตัวอ่อนในระยะ 3 หรือ 5 วัน จะไม่ส่งผลให้เกิดความพิการ เพราะเซลล์ทุกเซลล์ในตัวอ่อนระยะนี้ ยังไม่ได้ถูกโปรแกรมว่าจะให้เซลล์ใดเจริญไปเป็นตัวอ่อน หรืออวัยวะใดๆ ทำให้เซลล์ที่เหลือในตัวอ่อนสามารถแบ่งตัวได้ โดยจะไม่เกิดความผิดปกติต่อทารก และยังสามารถแบ่งตัวต่อไปจนฝังตัวได้ตามปกติ
ภาวะมีบุตรยากเป็นปัญหาที่สามารถหาทางออกได้ คู่สมรสที่วางแผนมีบุตร แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด อย่ากังวล หรือด่วนสรุปว่าตนจะไม่สามารถมีบุตรได้ เพราะทุกปัญหาล้วนมีทางแก้ไข
ขอบคุณ... http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9600000012039 (ขนาดไฟล์: 164)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
การเข้าปฏิสนธิของสเปิร์ม โดย...นพ.วรวัฒน์ ศิริปุณย์ สูตินรีแพทย์ เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชโรงพยาบาลเวชธานีลาดพร้าว111 ปัญหามีบุตรยาก ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความไม่สมบูรณ์ของเชื้ออสุจิ หรือไข่ เพียงเท่านั้น แต่อาจเกิดขึ้นหลังการปฏิสนธิ แล้วตัวอ่อนไม่สามารถฟักตัวออกจากเปลือกไข่ได้ นับเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ที่มักพบได้บ่อยเช่นกัน ทำไมต้องช่วยฟักตัวอ่อน ตัวอ่อนที่ปฏิสนธิภายนอกร่างกายด้วยวิธีการอิกซี ในบางครั้งพบว่าตัวเปลือกมีความผิดปกติ หรือมีความหนาของเปลือกไข่มากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฟัก หรือออกมาจากเปลือกไข่ได้ ส่งผลให้ตัวอ่อนเสียชีวิตอยู่ภายในเปลือกไข่ เช่นเดียวกับลูกเจี๊ยบที่ไม่สามารถเจาะออกจากเปลือกไข่ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง เพราะตัวอ่อนไม่สามารถออกมาฝังตัว แต่หากเราช่วยให้เปลือกไข่บางลง หรือทำให้เกิดรู จะทำให้ตัวอ่อนออกจากเปลือกได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสฝังตัวในโพรงมดลูกมากขึ้นสามารถเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้ นพ.วรวัฒน์ ศิริปุณย์ สูตินรีแพทย์ เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชโรงพยาบาลเวชธานีลาดพร้าว111 เทคโนโลยีที่กล่าวมานี้ คือ การช่วยฟักตัวอ่อนจากเปลือกไข่ โดยในอดีตจะใช้เข็มเจาะเพื่อเปิดเปลือกไข่ต่อมาเปลี่ยนเป็นการใช้สารเคมี และในปัจจุบันได้ใช้เลเซอร์เข้ามาช่วยในการเจาะเปลือกไข่ วิธีดังกล่าวเรียกว่า LAH (Laser Assisted Hatching) ซึ่งการใช้เลเซอร์นั้น มีความแม่นยำสูง ไม่เป็นอันตรายต่อตัวอ่อนและยังเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์อีกด้วย ผู้ที่เหมาะสมกับการใช้เลเซอร์เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ 1. ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการใช้วิธีอิกซีในรอบก่อน 2. เป็นผู้ป่วยที่มีโอกาสในการตั้งครรภ์ต่ำ พยากรณ์โรคไม่ดี และ 3. เป็นตัวอ่อนที่ผ่านกระบวนการแช่แข็งมาก่อน นอกจากการช่วยตัวอ่อนฟักตัวออกจากเปลือกไข่ด้วยเลเซอร์แล้ว บางกรณีจะเจาะเปลือกไข่และนำเซลล์ ของตัวอ่อนออกมา เพื่อทำการตรวจคัดกรอง และวินิจฉัยโครโมโซมของตัวอ่อน ก่อนการฝังตัว (PGS/PGD :Preimplantation Genetic Screening/Diagnosis) เป็นการนำเซลล์ของตัวอ่อนในระยะ 3 หรือ 5 วัน ที่ได้จากการทำอิกซี มาตรวจวินิจฉัย เพื่อดูว่าตัวอ่อนมีความผิดปกติของจำนวนโครโมโซมหรือไม่ จากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่สมบูรณ์ใส่กลับสู่โพรงมดลูก เพื่อให้เกิดกระบวนการตั้งครรภ์ต่อไป ผู้ที่เหมาะกับการทำPGS/PGD 1. คู่สมรสที่มีประวัติความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ที่อาจถ่ายทอดสู่ทารกได้ เช่น ธาลัสซีเมีย 2. ครอบครัวมีประวัติคลอดเด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด หรือมีโรคที่ผิดปกติทางพันธุกรรม 3. มีประวัติการแท้งบ่อย 4. บุตรคนก่อนป่วยเป็นโรคที่อาจรักษาโดยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากบุคคลอื่น ที่มีความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ 5. คู่สมรส ที่ฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่า 35 ปี มีโอกาสเกิดความผิดปกติของจำนวนโครโมโซม ทำให้บุตรที่เกิดมา มีโอกาสเป็นดาวน์ซินโดรมสูง 6. ไม่ตั้งครรภ์ 2 ครั้งติดต่อกันจากการรักษาโดยการทำอิกซี วิธีการตรวจวินิจฉัย นำตัวอ่อนที่ได้จากการทำอิกซี ในระยะ 3 หรือ 5 วัน มาเจาะบริเวณเปลือกให้เป็นรูเล็กๆ ด้วยเลเซอร์ แล้วใช้แท่งแก้วขนาดเล็ก ดึงเซลล์ที่อยู่ภายในตัวอ่อนออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาตรวจด้วยวิธีที่เรียกว่า CGH (Comparative Genomic Hybridization) หรือ NGS (Next Generation Sequencing) ซึ่งเป็นการตรวจโครโมโซมครบทุกคู่ รวมทั้งโครโมโซมเพศด้วย หลังจากนั้น จะทำการย้ายตัวอ่อน เฉพาะตัวที่โครโมโซมปกติเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป ข้อดี 1. เพิ่มอัตราการตั้งครรภ์จากการทำอิกซี 2. ลดอัตราการเกิดความผิดปกติของโครโมโซมของทารก และ 3.ลดอัตราการแท้งบุตร การดูดนำเซลล์จากตัวอ่อนในระยะ 3 หรือ 5 วัน จะไม่ส่งผลให้เกิดความพิการ เพราะเซลล์ทุกเซลล์ในตัวอ่อนระยะนี้ ยังไม่ได้ถูกโปรแกรมว่าจะให้เซลล์ใดเจริญไปเป็นตัวอ่อน หรืออวัยวะใดๆ ทำให้เซลล์ที่เหลือในตัวอ่อนสามารถแบ่งตัวได้ โดยจะไม่เกิดความผิดปกติต่อทารก และยังสามารถแบ่งตัวต่อไปจนฝังตัวได้ตามปกติ ภาวะมีบุตรยากเป็นปัญหาที่สามารถหาทางออกได้ คู่สมรสที่วางแผนมีบุตร แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด อย่ากังวล หรือด่วนสรุปว่าตนจะไม่สามารถมีบุตรได้ เพราะทุกปัญหาล้วนมีทางแก้ไข ขอบคุณ... http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9600000012039
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)