แผนน้ำ 3.5 แสนล้านส่อแท้ง! "เสรี" เตือนภัยรัฐบาลเร่งปัดฝุ่นรับมือ

แสดงความคิดเห็น

นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต

“เสรี” แนะรัฐบาลใหม่เร่งเคลียร์ปัญหาแผนบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท ให้ประชาชนยอมรับ ย้ำโครงการจัดการน้ำขนาดใหญ่ยังจำเป็น ยก 4 ปัจจัยเสี่ยงบ่งชี้ว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ โดยเฉพาะอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และพื้นที่ฝั่งธนบุรี–ตะวันออกกรุงเทพฯ มีโอกาสจมน้ำนาน 1–2 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้จัดทำบทความเรื่องเหลียวหลังแลหน้า มหาอุทกภัย 2554 กับอภิมหาโครงการน้ำ 350,000 ล้านบาท โดยระบุว่า หลังจากประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว รัฐบาลใหม่ควรสร้าง ความชัดเจนในแผนงาน และโครงการต่างๆ ตามแผนจัดการน้ำวงเงิน 350,000 ล้านบาท ก่อนเซ็นสัญญาว่าจ้างกับเอกชน เพราะความขัดแย้งของสังคมตามเวทีต่างๆที่รัฐบาลจัดขึ้นมีหลายเวทีที่ไม่ สามารถดำเนินการได้ เพราะตัวโครงการมีความไม่ชัดเจน 4 เรื่อง คือ 1.ข้อมูลไม่ชัดเจน 2.ผู้นำเสนอไม่เข้าใจข้อมูล 3.ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างโครงการ และ 4. ไม่มีทางเลือกให้ประชาชน

ดังนั้น ขอเสนอให้ทบทวนแผนงานและโครงการต่างๆอย่างรอบคอบ จากนั้นให้นำโครงการต่างๆมาจัดลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของโครงการแล้วจึงดำเนินการ เพื่อให้โครงการต่างๆมีการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นไปได้ มีความคุ้มค่า และที่สำคัญได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน

ทั้งนี้ เท่าที่ได้ทำการประเมินและวิเคราะห์ความรุนแรงของเหตุการณ์มหาอุทกภัย 54 รวมทั้งประเมินมาตรการเบื้องต้นในการป้องกันและลดผลกระทบเป็น 4 กรณีศึกษา ได้แก่ 1.กรณีที่ไม่ดำเนินการอะไร (Do nothing) 2. กรณีการใช้มาตรการแก้มลิง 2 ล้านไร่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบนและตอนล่าง 3.กรณีการใช้มาตรการทางผันน้ำฝั่งตะวันออก 1,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)ต่อวินาที และ 4.กรณีการใช้มาตรการทางผันน้ำฝั่งตะวันออก 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาทีและฝั่งตะวันตก 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาที

พบว่ากรณีศึกษา ที่ 1 หากไม่มีการดำเนินมาตรการใดๆ พื้นที่น้ำท่วมที่ประเมินได้ประมาณ 8.8 ล้านไร่ ส่วนกรณีศึกษาที่ 2 หากมีการกันพื้นที่ แก้มลิง 2 ล้านไร่ก็จะลดพื้นที่น้ำท่วมไปประมาณ 18% คงเหลือพื้นที่น้ำท่วมประมาณ 7.2 ล้านไร่ สำหรับกรณีศึกษาที่ 3 เป็นการผันน้ำโดยใช้คลองผันน้ำฝั่งตะวันออก ได้แก่ คลองชัยนาท-ป่าสัก ปริมาณ 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาที จะทำให้พื้นที่น้ำท่วมลดลง 35% หรือมีพื้นที่น้ำท่วมคงเหลือประมาณ 5.7 ล้านไร่ และกรณีศึกษาที่ 4 เป็นการผันน้ำทั้ง 2 คลองทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ปริมาณคลองละ 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาที จะทำให้พื้นที่น้ำท่วมลดลง 52% ซึ่งยังคงมีพื้นที่น้ำท่วมเหลือ 4.2 ล้านไร่ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ท้ายน้ำบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นตาม ลำดับ ใน ขณะที่พื้นที่ภาคกลางตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ลงมาจนถึงจังหวัดพระนครศรี อยุธยายังคงมีพื้นที่น้ำท่วมอยู่

สาเหตุที่กรุงเทพฯเสี่ยงจะถูกน้ำ ท่วมใหญ่อีกครั้งในอนาคต เนื่องจากมีปัจจัยบ่งชี้หลายประการ ได้แก่ 1. ข้อมูลปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำเหนือในช่วงฤดูน้ำหลาก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 10-15% ต่อปี 2.การเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ที่ดิน ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำลดลงจาก 60% ของพื้นที่ทั้งหมด เหลือ 25% ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา 3.การทรุดตัวของแผ่นดิน ประมาณ 2-10 ซม.ต่อปี และ 4.การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ประมาณ 2-3 มม.ต่อปี

ทั้งนี้ เมื่อนำปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้กรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมใหญ่ 4 ข้อ มาจัดทำแบบจำลองน้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าหลายพื้นที่จะต้องจมอยู่ใต้บาดาลเป็นเวลา 1-2 เดือนคือ ตั้งแต่จังหวัดเหนือน้ำ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี มีน้ำท่วมขังทั้งหมด พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดนนทบุรี พื้นที่ฝั่งธนบุรี และฝั่งตะวันออกกรุงเทพฯบางพื้นที่มีน้ำท่วมขัง ประเมินความเสียหายเบื้องต้นอยู่ที่ 150,000 ล้านบาท และที่สำคัญเป็นความยากลำบากในการบริหารจัด การมาตรการต่างๆที่เตรียมไว้จะไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ.

ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/eco/391394 (ขนาดไฟล์: 167)

(ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 23 ธ.ค.56)

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 23 ธ.ค.56
วันที่โพสต์: 24/12/2556 เวลา 03:44:03 ดูภาพสไลด์โชว์ แผนน้ำ 3.5 แสนล้านส่อแท้ง! "เสรี" เตือนภัยรัฐบาลเร่งปัดฝุ่นรับมือ

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต “เสรี” แนะรัฐบาลใหม่เร่งเคลียร์ปัญหาแผนบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท ให้ประชาชนยอมรับ ย้ำโครงการจัดการน้ำขนาดใหญ่ยังจำเป็น ยก 4 ปัจจัยเสี่ยงบ่งชี้ว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ โดยเฉพาะอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และพื้นที่ฝั่งธนบุรี–ตะวันออกกรุงเทพฯ มีโอกาสจมน้ำนาน 1–2 เดือน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้จัดทำบทความเรื่องเหลียวหลังแลหน้า มหาอุทกภัย 2554 กับอภิมหาโครงการน้ำ 350,000 ล้านบาท โดยระบุว่า หลังจากประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว รัฐบาลใหม่ควรสร้าง ความชัดเจนในแผนงาน และโครงการต่างๆ ตามแผนจัดการน้ำวงเงิน 350,000 ล้านบาท ก่อนเซ็นสัญญาว่าจ้างกับเอกชน เพราะความขัดแย้งของสังคมตามเวทีต่างๆที่รัฐบาลจัดขึ้นมีหลายเวทีที่ไม่ สามารถดำเนินการได้ เพราะตัวโครงการมีความไม่ชัดเจน 4 เรื่อง คือ 1.ข้อมูลไม่ชัดเจน 2.ผู้นำเสนอไม่เข้าใจข้อมูล 3.ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างโครงการ และ 4. ไม่มีทางเลือกให้ประชาชน ดังนั้น ขอเสนอให้ทบทวนแผนงานและโครงการต่างๆอย่างรอบคอบ จากนั้นให้นำโครงการต่างๆมาจัดลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของโครงการแล้วจึงดำเนินการ เพื่อให้โครงการต่างๆมีการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นไปได้ มีความคุ้มค่า และที่สำคัญได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน ทั้งนี้ เท่าที่ได้ทำการประเมินและวิเคราะห์ความรุนแรงของเหตุการณ์มหาอุทกภัย 54 รวมทั้งประเมินมาตรการเบื้องต้นในการป้องกันและลดผลกระทบเป็น 4 กรณีศึกษา ได้แก่ 1.กรณีที่ไม่ดำเนินการอะไร (Do nothing) 2. กรณีการใช้มาตรการแก้มลิง 2 ล้านไร่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบนและตอนล่าง 3.กรณีการใช้มาตรการทางผันน้ำฝั่งตะวันออก 1,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)ต่อวินาที และ 4.กรณีการใช้มาตรการทางผันน้ำฝั่งตะวันออก 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาทีและฝั่งตะวันตก 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาที พบว่ากรณีศึกษา ที่ 1 หากไม่มีการดำเนินมาตรการใดๆ พื้นที่น้ำท่วมที่ประเมินได้ประมาณ 8.8 ล้านไร่ ส่วนกรณีศึกษาที่ 2 หากมีการกันพื้นที่ แก้มลิง 2 ล้านไร่ก็จะลดพื้นที่น้ำท่วมไปประมาณ 18% คงเหลือพื้นที่น้ำท่วมประมาณ 7.2 ล้านไร่ สำหรับกรณีศึกษาที่ 3 เป็นการผันน้ำโดยใช้คลองผันน้ำฝั่งตะวันออก ได้แก่ คลองชัยนาท-ป่าสัก ปริมาณ 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาที จะทำให้พื้นที่น้ำท่วมลดลง 35% หรือมีพื้นที่น้ำท่วมคงเหลือประมาณ 5.7 ล้านไร่ และกรณีศึกษาที่ 4 เป็นการผันน้ำทั้ง 2 คลองทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ปริมาณคลองละ 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาที จะทำให้พื้นที่น้ำท่วมลดลง 52% ซึ่งยังคงมีพื้นที่น้ำท่วมเหลือ 4.2 ล้านไร่ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ท้ายน้ำบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นตาม ลำดับ ใน ขณะที่พื้นที่ภาคกลางตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ลงมาจนถึงจังหวัดพระนครศรี อยุธยายังคงมีพื้นที่น้ำท่วมอยู่ สาเหตุที่กรุงเทพฯเสี่ยงจะถูกน้ำ ท่วมใหญ่อีกครั้งในอนาคต เนื่องจากมีปัจจัยบ่งชี้หลายประการ ได้แก่ 1. ข้อมูลปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำเหนือในช่วงฤดูน้ำหลาก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 10-15% ต่อปี 2.การเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ที่ดิน ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำลดลงจาก 60% ของพื้นที่ทั้งหมด เหลือ 25% ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา 3.การทรุดตัวของแผ่นดิน ประมาณ 2-10 ซม.ต่อปี และ 4.การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ประมาณ 2-3 มม.ต่อปี ทั้งนี้ เมื่อนำปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้กรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมใหญ่ 4 ข้อ มาจัดทำแบบจำลองน้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าหลายพื้นที่จะต้องจมอยู่ใต้บาดาลเป็นเวลา 1-2 เดือนคือ ตั้งแต่จังหวัดเหนือน้ำ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี มีน้ำท่วมขังทั้งหมด พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดนนทบุรี พื้นที่ฝั่งธนบุรี และฝั่งตะวันออกกรุงเทพฯบางพื้นที่มีน้ำท่วมขัง ประเมินความเสียหายเบื้องต้นอยู่ที่ 150,000 ล้านบาท และที่สำคัญเป็นความยากลำบากในการบริหารจัด การมาตรการต่างๆที่เตรียมไว้จะไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ. ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/eco/391394 (ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 23 ธ.ค.56)

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...