เอกชน เข้มแผนจัดการน้ำ รับมือภัยแล้งแบบยั่งยืน
ปี 2559 ประเทศไทยต้องกลับมาเผชิญภาวะภัยแล้งที่จัดว่าหนักสุดในรอบ 2 ทศวรรษ โดยปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2558 ที่ปริมาณฝนทิ้งช่วงทำให้การสะสมน้ำในเขื่อนหลายเขื่อนทั่วประเทศมีไม่เพียงพอ หลายพื้นที่ ต้องประสบกับปัญหาการขาดแคลน “น้ำ” เพื่อการอุปโภคและบริโภค รวมถึงภาคการเกษตรที่ดูจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เมื่อมีสัญญาณปริมาณน้ำในแหล่งเก็บน้ำลดลง จนนำมาสู่ความตื่นตระหนก เพราะเกรงว่าจะขาดแคลนน้ำ
ไม่เพียงเท่านั้นปัญหาภัยแล้งยังทำให้หลายฝ่ายมองว่าจะเป็นปัจจัยซ้ำเติมต่ออัตราการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ขณะนี้ก็เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวกระทบโดยตรงมายังภาคการส่งออกของไทยที่ติดลบต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภายในประเทศนั้นต้องอาศัยการบริโภคหรือแรงซื้อของคนไทย แต่เมื่อเกิดภาวะภัยแล้งขึ้นย่อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ และการใช้จ่ายของชาวไร่ชาวนา โดยเฉพาะชาวนาผู้ปลูกข้าวที่มีจำนวนมากกว่า 3.7 ล้านครัวเรือนซึ่งหากปัญหานี้ลุกลามจะส่งผลกระทบต่อภาวะแรงซื้อถดถอยมากขึ้นและที่สุดจะกระทบชิ่งไปยังภาคการผลิตและลามไปยังระบบเศรษฐกิจโดยรวม
สถานการณ์ภัยแล้งขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักคงต้องลุ้นให้ฝนฟ้าเป็นใจตกตามฤดูกาลเพราะหากล่าช้าออกไปวิกฤติก็จะยิ่งหนักขึ้น ซึ่งทุกฝ่ายต้องย้อนกลับมาดูตัวเองว่าจะทำอย่างไรให้มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะภาคเอกชนที่วันนี้มีความตื่นตัวในการลดการใช้น้ำด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผสมผสาน ตัวอย่างที่อยากจะยกมาในวันนี้ คือ การบริหารจัดการน้ำของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC บริษัทในกลุ่ม ปตท.ที่ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ที่มีความจริงจังในการบริหารจัดการน้ำในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ถึงแม้ผลจากงานแถลงข่าวรับมือภัยแล้งในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือโครงการ Eastern Seaboard จัดโดย 3 หน่วยงาน ได้แก่ โครงการชลประทานระยอง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และอีสท์ วอเตอร์ เมื่อเร็วๆ นี้ ออกมายืนยันว่า เขตพื้นที่ภาคตะวันออกจะไม่ประสบกับปัญหาภัยแล้งในปีนี้ แต่ PTTGC ไม่นิ่งนอนใจมีการดำเนินการการบริหารจัดการใช้น้ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งเก็บข้อมูลการใช้น้ำและการเพิ่มประสิทธิภาพการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2559 เพื่อช่วยลดการใช้น้ำลงตามมาตรการของรัฐโดยในปี 2559 บริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะมีการนำน้ำกลับมาใช้ให้ได้ 40-47% ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีการผลิตน้ำจากระบบ น้ำทิ้งที่ได้จากกระบวนการผลิตนำกลับมาใช้ใหม่ (Waste Water Reverse Osmosis หรือ RO) ซึ่งดำเนินการมาเกือบ 10 ปี
เดิมบริษัทฯ ได้ทิ้งน้ำในส่วนนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์จึงมีแนวคิดนำน้ำกลับมาใช้ให้มากสุด โดยในปี 2558 ระบบ RO ทำให้บริษัทฯสามารถนำน้ำกลับมาได้ 904,842 ลูกบาศก์เมตรคิดเป็น 36.8% ของน้ำทิ้งจากโรงงาน โดยส่วนใหญ่จะนำกลับไปใช้ในระบบหล่อเย็นของโรงงาน จากเดิมที่ต้องทิ้งน้ำทั้งหมด
“ PTTGC มีแผนบริหารจัดการน้ำทั้งภายในและนอกองค์กร โดยมุ่งเน้นการดำเนินการตาม 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) Water Saving เป็นการดำเนินการลดปริมาณการใช้น้ำตามหลักการ 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) เพื่อใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 2) Water Innovation เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนน้ำดิบ และลดการใช้น้ำ แหล่งเดียวกับชุมชน โดยการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล 3) Water Stewardship เพื่อประเมินการใช้น้ำทั้งทางตรงและทางอ้อมตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยจัดทำรอยเท้าน้ำ หรือ Water Footprint พร้อมทั้งได้ตั้งเป้าหมายลดปริมาณการใช้น้ำต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ลง 10% จากการดำเนินงานตามปกติ ภายในปี 2566 เทียบกับปี 2556 เพื่อให้การใช้ทรัพยากรน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
แผนการบริหารจัดน้ำภายนอกองค์กร ซึ่งเป็นแผนระยะยาว ได้ร่วมกับกลุ่ม ปตท. (PTT Group Water Management Team: PTTWT) ที่จะมีคณะทำงานในการประเมินร่วมกันทุกไตรมาสเพื่อติดตาม สถานการณ์น้ำภาคตะวันออก รวมถึงวิเคราะห์และจัดทำแผนงานการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของ กลุ่ม ปตท. ซึ่งรวมถึงแผนการอนุรักษ์น้ำ (Water Conservation) ในโครงการเพื่อฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ เช่น โครงการฟื้นป่า รักษ์น้ำเขาห้วยมะหาด การมอบถังน้ำสะอาด InnoPlus ให้กับผู้ประสบภัยแล้ง เป็นต้น” นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC กล่าว
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของการบริหารจัดการน้ำจากภาคเอกชน ซึ่งเชื่อว่าขณะนี้บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งได้มีการดำเนินงานเช่นเดียวกันนี้เพื่อที่จะลดปริมาณการใช้น้ำลง ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสโลกที่มุ่งเน้นการต้อนรับสินค้าที่มีส่วนลดการใช้น้ำทั้งทางตรงและทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม การลดการใช้น้ำจากภาคเอกชนในกระบวนการผลิตและการลงทุนสำรองแหล่งน้ำ นับเป็นเรื่องที่ควรจะดำเนินการอย่างจริงจัง แต่เหนือสิ่งอื่นใดการแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืนก็ต้องทำในหลายส่วนไม่ใช่เพียงภาคเอกชนเท่านั้น เพราะการใช้น้ำมีการเติบโตทุกปีจากทุกภาคส่วนทั้งการอุปโภคและบริโภค การลงทุนพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการก็ยังมีส่วนสำคัญซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลปัจจุบันกำลังแก้ไขปัญหาอยู่
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/597710 (ขนาดไฟล์: 167)