ยอดคุณแม่โคราชผู้เสียสละ! ฐานะยากจนยอมทิ้งทุกอย่าง ทุ่มชีวิตเลี้ยงลูกพิการลำพังมา 12 ปี

แสดงความคิดเห็น

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - เผยยอดคุณแม่โคราชผู้เสียสละ ฐานะยากจน ยอมทิ้งทุกอย่างทุ่มเทชีวิตเลี้ยงลูกพิการเพียงลำพังมานาน 12 ปี สามีทอดทิ้งขณะลูกน้อยอายุเพียง 7 เดือน ต้องเลี้ยงชีพจากรายได้อันน้อยนิดจากค่ารับจ้างเย็บหมอนเดือนละ 500 บาท และค่าเบี้ยคนพิการ 800 บาทเท่านั้น แต่หัวใจแม่สุดแกร่งพร้อมสู้เพื่อลูกที่พูดไม่ได้แม่แต่คำว่า “แม่” ขอเพียงให้ลูกมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือ

น.ส.จรรยา กำลังป้อนข้าวน้องน้ำฝน บุตรสาวพิการแขนขาอ่อนแรง

วันที่ (10 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนครราชสีมา ว่า พบยอดคุณแม่ผู้เสียสละ ฐานะยากจน ยอมทิ้งทุกอย่างทุ่มเทชีวิตเลี้ยงลูกพิการเพียงลำพังมานาน 12 ปี โดยแม่รายนี้คือ น.ส.จรรยา หรือ “หน่อย” ปักนอก คุณแม่ยังสาววัย 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96/3 หมู่ 11 บ้านดอนทะบวง ต.เทพาลัย อ.คง จ.นครราชสีมา กับลูกสาว “น้องน้ำฝน” ด.ญ.ประนิดา ฟอมไธสง อายุ 12 ปี พิการแขนขาอ่อนแรง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พักอาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กสภาพเก่าทรุดโทรม ฝาผนังผุพัง หลังคาสังกะสีเก่าสนิมเกรอะเต็มไปด้วยรูรั่ว ซึ่งบ้านหลังนี้ยังอาศัยอยู่กับตายายอายุมากซ้ำโรครุมเร้าทำงานอะไรไม่ได้

น.ส.จรรยา แม่น้องน้ำฝน เปิดเผยว่า หลังจากคลอด “น้องน้ำฝน” ได้ประมาณ 4 เดือน น้องมีไข้สูง และชักรุนแรง จึงพาไปโรงพยาบาลโนนแดง ที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อรับการรักษา หลังเกิดอาการดังกล่าวขึ้นทำให้น้องแขนขาอ่อนแรง หมอให้ยาแก้อาการชัก และคลายกล้ามเนื้อมารับประทานต่อเนื่อง แต่อาการไม่ดีขึ้นยังมีอาการชักมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งอายุได้ 7 เดือน จึงตัดสินใจไปรักษาคลินิกใกล้บ้าน หมอแนะนำให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา หมอบอกว่า สมองน้องน้ำฝนขาดออกซิเจนในช่วงที่เกิดอาการชักอย่างรุนแรง

น.ส.จรรยา อุ้ม น้องน้ำฝน บุตรสาวพิการ ลงจากบ้าน

ฉะนั้น โอกาสที่เด็กจะกลับมาเหมือนเดิมแทบจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอาการของน้องน้ำฝน คือ แขนขาลีบ ไม่มีแรง คออ่อน ลุกนั่งคลานเดินไม่ได้ และช่วยเหลือตัวเองอะไรไม่ได้ จนถึงปัจจุบันอายุได้ 12 ปี แล้วยังพูดไม่ได้แม้แต่คำว่า“แม่”จึงสื่อสารกันด้วยเสียงร้องของลูกและความรู้สึกผูกพันของความเป็นแม่กับลูกเท่านั้น

น.ส.จรรยา กล่าวต่อว่า น้องน้ำฝน อายุได้เพียง 7 เดือน พ่อของน้องน้ำฝนก็มาทิ้งพวกเราไปมีครอบครัวใหม่ ตนต้องเลี้ยงลูกตามลำพังตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หลังครอบครัวขาดเสาหลักไป เราเป็นแม่ก็ต้องคอยเป็นทุกอย่างให้แก่ลูก และยิ่งลูกไม่ปกติเหมือนเด็กคนอื่น ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ต้องทุ่มเทดูแลมากเป็นพิเศษ อาชีพการงานที่เคยทำรายได้ที่เคยมีก็ต้องลาออกมาเพื่อดูแลลูก แต่หากจะทิ้งลูกไปภาระหน้าที่อันหนักหน่วงทุกอย่างต้องตกเป็นของแม่ของตนหรือยายน้องน้ำฝนซึ่งอายุมากแล้วและป่วยเป็นโรคหลายอย่างทำงานอะไรแทบไม่ได้

ในฐานะเราเป็นลูก และเห็นแม่ลำบากมาทั้งชีวิตจนถึงวันนี้ หากทิ้งหลานพิการซึ่งเป็นลูกของเราให้แม่เลี้ยงอีกก็รู้สึกผิดมาก ไม่สามารถทำได้ จึงต้องก้มหน้าทนเลี้ยงลูก และละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทุ่มเทให้แก่ลูก เพราะเขาพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ทุกอย่างต้องทำให้หมดแม้แต่การขับถ่ายต้องช่วยสวนเมื่อมีปัญหา

โดยช่วงเวลารับหมอนมาเย็บรับจ้าง จะเอาลูกนอนไว้ในเปลใต้ถุนบ้าน หรือนอนบนรถเข็น บ้างก็นอนกับพื้น เพื่อเราจะได้ทำงานมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ต้องคอยสังเกตอาการของลูกตลอดเวลา เพราะลูกพูดสื่อสารไม่ได้“บางครั้งรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง รู้สึกท้อแท้แต่หันกลับมามองดูลูกก็ทำให้เราต้องสู้ต่อไป เพราะเขาไม่มีใครนอกจากเรา ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต เห็นพ่อแม่คนอื่นไปส่งลูกเรียนหนังสือที่โรงเรียนเราก็นึกน้อยใจแอบร้องไห้คนเดียวว่า ลูกมีชีวิตไม่เหมือนคนอื่น อยากให้ลูกมีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ ได้ไปโรงเรียนและวิ่งเล่นสนุกสนานตามประสาเด็กกับเพื่อนคนอื่นๆ”น.ส.จรรยากล่าวทั้งน้ำตา

ชาวบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือเบื้องต้นแด่ครอบครัวของ น.ส.จรรยา

น.ส.จรรยา กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ตนมีเพียงมีรายได้จากรับจ้างเย็บหมอนที่บ้าน ใบละ 5 บาท เดือนหนึ่งได้ประมาณ 500 บาท และเงินจากเบี้ยคนพิการของน้องน้ำฝนอีก 800 บาท ซึ่งไม่พอใช้จ่าย แต่ต้องใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด อดบ้างอิ่มบ้างต้องสู้ อดทน เพราะตนไม่สามารถออกไปทำงานรับจ้างนอกบ้านได้ ยอมรับว่าชีวิตลำบากมาก และฐานะครอบครัวก็ยากจน แต่อย่างน้อยก็มีความสุขที่ได้อยู่กับลูกทำอะไรให้ลูก และเห็นพัฒนาการของเขาที่เริ่มตอบสนองขึ้นบ้างแม้ไม่มากแต่ก็ยังดี

วันนี้ในฐานะแม่สิ่งที่อยากได้มากที่สุดคือ คนเป็นแม่ทุกคนต้องการให้ลูกหายจากอาการเจ็บป่วยหรือความพิการให้เป็นปกติทั้งนั้น แต่สำหรับน้องน้ำฝน คงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงขอให้ลูกอยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่จะนานได้ และแม่ไม่ทิ้งลูกไปไหนเด็ดขาด ซึ่งตอนนี้มี “ชมรมรื่นจิตอาสา” ของกลุ่มบริษัทไฟว์สตาร์ นครราชสีมา ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง โดยส่งอาสาสมัครมาคอยดูแลช่วยเหลือพร้อมให้คำปรึกษา และนำสิ่งของใช้จำเป็นสำหรับผู้ป่วยพิการเช่นอาหารสำเร็จรูปกางเกงผ้าอ้อมมามอบให้เป็นประจำ

ทั้งนี้ หากผู้ใจบุญต้องการช่วยเหลือครอบครัว “น้องน้ำฝน” สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดต่อ นายไพศาล เกียรติชัยพัฒน กำนันตำบลเมืองคง ประธานชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน อ.คง จ.นครราชสีมา ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-9848-5757 หรือ 09-3449-1678 ซึ่งขณะนี้กำลังระดมเงินบริจาคเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นสำหรับ “น้องน้ำฝน” และ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้แม่ลูกได้พอพักอาศัยอย่างปลอดภัย

ขอบคุณ... http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000090194 (ขนาดไฟล์: 166)

ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 10 ส.ค.58
วันที่โพสต์: 11/08/2558 เวลา 13:24:37 ดูภาพสไลด์โชว์ ยอดคุณแม่โคราชผู้เสียสละ! ฐานะยากจนยอมทิ้งทุกอย่าง ทุ่มชีวิตเลี้ยงลูกพิการลำพังมา 12 ปี

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - เผยยอดคุณแม่โคราชผู้เสียสละ ฐานะยากจน ยอมทิ้งทุกอย่างทุ่มเทชีวิตเลี้ยงลูกพิการเพียงลำพังมานาน 12 ปี สามีทอดทิ้งขณะลูกน้อยอายุเพียง 7 เดือน ต้องเลี้ยงชีพจากรายได้อันน้อยนิดจากค่ารับจ้างเย็บหมอนเดือนละ 500 บาท และค่าเบี้ยคนพิการ 800 บาทเท่านั้น แต่หัวใจแม่สุดแกร่งพร้อมสู้เพื่อลูกที่พูดไม่ได้แม่แต่คำว่า “แม่” ขอเพียงให้ลูกมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือ น.ส.จรรยา กำลังป้อนข้าวน้องน้ำฝน บุตรสาวพิการแขนขาอ่อนแรง วันที่ (10 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนครราชสีมา ว่า พบยอดคุณแม่ผู้เสียสละ ฐานะยากจน ยอมทิ้งทุกอย่างทุ่มเทชีวิตเลี้ยงลูกพิการเพียงลำพังมานาน 12 ปี โดยแม่รายนี้คือ น.ส.จรรยา หรือ “หน่อย” ปักนอก คุณแม่ยังสาววัย 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96/3 หมู่ 11 บ้านดอนทะบวง ต.เทพาลัย อ.คง จ.นครราชสีมา กับลูกสาว “น้องน้ำฝน” ด.ญ.ประนิดา ฟอมไธสง อายุ 12 ปี พิการแขนขาอ่อนแรง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พักอาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กสภาพเก่าทรุดโทรม ฝาผนังผุพัง หลังคาสังกะสีเก่าสนิมเกรอะเต็มไปด้วยรูรั่ว ซึ่งบ้านหลังนี้ยังอาศัยอยู่กับตายายอายุมากซ้ำโรครุมเร้าทำงานอะไรไม่ได้ น.ส.จรรยา แม่น้องน้ำฝน เปิดเผยว่า หลังจากคลอด “น้องน้ำฝน” ได้ประมาณ 4 เดือน น้องมีไข้สูง และชักรุนแรง จึงพาไปโรงพยาบาลโนนแดง ที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อรับการรักษา หลังเกิดอาการดังกล่าวขึ้นทำให้น้องแขนขาอ่อนแรง หมอให้ยาแก้อาการชัก และคลายกล้ามเนื้อมารับประทานต่อเนื่อง แต่อาการไม่ดีขึ้นยังมีอาการชักมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งอายุได้ 7 เดือน จึงตัดสินใจไปรักษาคลินิกใกล้บ้าน หมอแนะนำให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา หมอบอกว่า สมองน้องน้ำฝนขาดออกซิเจนในช่วงที่เกิดอาการชักอย่างรุนแรง น.ส.จรรยา อุ้ม น้องน้ำฝน บุตรสาวพิการ ลงจากบ้าน ฉะนั้น โอกาสที่เด็กจะกลับมาเหมือนเดิมแทบจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอาการของน้องน้ำฝน คือ แขนขาลีบ ไม่มีแรง คออ่อน ลุกนั่งคลานเดินไม่ได้ และช่วยเหลือตัวเองอะไรไม่ได้ จนถึงปัจจุบันอายุได้ 12 ปี แล้วยังพูดไม่ได้แม้แต่คำว่า“แม่”จึงสื่อสารกันด้วยเสียงร้องของลูกและความรู้สึกผูกพันของความเป็นแม่กับลูกเท่านั้น น.ส.จรรยา กล่าวต่อว่า น้องน้ำฝน อายุได้เพียง 7 เดือน พ่อของน้องน้ำฝนก็มาทิ้งพวกเราไปมีครอบครัวใหม่ ตนต้องเลี้ยงลูกตามลำพังตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หลังครอบครัวขาดเสาหลักไป เราเป็นแม่ก็ต้องคอยเป็นทุกอย่างให้แก่ลูก และยิ่งลูกไม่ปกติเหมือนเด็กคนอื่น ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ต้องทุ่มเทดูแลมากเป็นพิเศษ อาชีพการงานที่เคยทำรายได้ที่เคยมีก็ต้องลาออกมาเพื่อดูแลลูก แต่หากจะทิ้งลูกไปภาระหน้าที่อันหนักหน่วงทุกอย่างต้องตกเป็นของแม่ของตนหรือยายน้องน้ำฝนซึ่งอายุมากแล้วและป่วยเป็นโรคหลายอย่างทำงานอะไรแทบไม่ได้ ในฐานะเราเป็นลูก และเห็นแม่ลำบากมาทั้งชีวิตจนถึงวันนี้ หากทิ้งหลานพิการซึ่งเป็นลูกของเราให้แม่เลี้ยงอีกก็รู้สึกผิดมาก ไม่สามารถทำได้ จึงต้องก้มหน้าทนเลี้ยงลูก และละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทุ่มเทให้แก่ลูก เพราะเขาพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ทุกอย่างต้องทำให้หมดแม้แต่การขับถ่ายต้องช่วยสวนเมื่อมีปัญหา โดยช่วงเวลารับหมอนมาเย็บรับจ้าง จะเอาลูกนอนไว้ในเปลใต้ถุนบ้าน หรือนอนบนรถเข็น บ้างก็นอนกับพื้น เพื่อเราจะได้ทำงานมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ต้องคอยสังเกตอาการของลูกตลอดเวลา เพราะลูกพูดสื่อสารไม่ได้“บางครั้งรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง รู้สึกท้อแท้แต่หันกลับมามองดูลูกก็ทำให้เราต้องสู้ต่อไป เพราะเขาไม่มีใครนอกจากเรา ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต เห็นพ่อแม่คนอื่นไปส่งลูกเรียนหนังสือที่โรงเรียนเราก็นึกน้อยใจแอบร้องไห้คนเดียวว่า ลูกมีชีวิตไม่เหมือนคนอื่น อยากให้ลูกมีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ ได้ไปโรงเรียนและวิ่งเล่นสนุกสนานตามประสาเด็กกับเพื่อนคนอื่นๆ”น.ส.จรรยากล่าวทั้งน้ำตา ชาวบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือเบื้องต้นแด่ครอบครัวของ น.ส.จรรยา น.ส.จรรยา กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ตนมีเพียงมีรายได้จากรับจ้างเย็บหมอนที่บ้าน ใบละ 5 บาท เดือนหนึ่งได้ประมาณ 500 บาท และเงินจากเบี้ยคนพิการของน้องน้ำฝนอีก 800 บาท ซึ่งไม่พอใช้จ่าย แต่ต้องใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด อดบ้างอิ่มบ้างต้องสู้ อดทน เพราะตนไม่สามารถออกไปทำงานรับจ้างนอกบ้านได้ ยอมรับว่าชีวิตลำบากมาก และฐานะครอบครัวก็ยากจน แต่อย่างน้อยก็มีความสุขที่ได้อยู่กับลูกทำอะไรให้ลูก และเห็นพัฒนาการของเขาที่เริ่มตอบสนองขึ้นบ้างแม้ไม่มากแต่ก็ยังดี วันนี้ในฐานะแม่สิ่งที่อยากได้มากที่สุดคือ คนเป็นแม่ทุกคนต้องการให้ลูกหายจากอาการเจ็บป่วยหรือความพิการให้เป็นปกติทั้งนั้น แต่สำหรับน้องน้ำฝน คงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงขอให้ลูกอยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่จะนานได้ และแม่ไม่ทิ้งลูกไปไหนเด็ดขาด ซึ่งตอนนี้มี “ชมรมรื่นจิตอาสา” ของกลุ่มบริษัทไฟว์สตาร์ นครราชสีมา ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง โดยส่งอาสาสมัครมาคอยดูแลช่วยเหลือพร้อมให้คำปรึกษา และนำสิ่งของใช้จำเป็นสำหรับผู้ป่วยพิการเช่นอาหารสำเร็จรูปกางเกงผ้าอ้อมมามอบให้เป็นประจำ ทั้งนี้ หากผู้ใจบุญต้องการช่วยเหลือครอบครัว “น้องน้ำฝน” สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดต่อ นายไพศาล เกียรติชัยพัฒน กำนันตำบลเมืองคง ประธานชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน อ.คง จ.นครราชสีมา ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-9848-5757 หรือ 09-3449-1678 ซึ่งขณะนี้กำลังระดมเงินบริจาคเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นสำหรับ “น้องน้ำฝน” และ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้แม่ลูกได้พอพักอาศัยอย่างปลอดภัย ขอบคุณ... http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000090194

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...