วอนช่วย ‘เฒ่าชราตาเดียว’ ไม่มีบัตรสุดลำบาก พิการทั้งผัวเมีย
‘พ่อเฒ่าชราตาเดียว’ สู้ชีวิตตั้งแต่เกิดยันแก่ เคยเป็นผู้รับเหมาร่ำรวย แต่ชะตาพลิกผันถูกเมียขี้หึงสาดน้ำกรดจนตาบอด ได้เมียใหม่คราวนี้พากันเร่ร่อนหางานไปทั่วจนแก่ตัวทำงานไม่ไหว เมียก็มาพิการ สุดท้ายต้องขออาศัยอยู่กับเมียของเพื่อน...
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 3 ส.ค. 58 ผู้สื่อข่าว จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ว่าพบชายชราพิการตาขวาบอด เหลือตาข้างซ้ายที่มองเห็นแต่ก็เลือนรางเต็มที ทั้งไม่เคยได้รับเงินช่วยทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการตามระเบียบของทางราชการเนื่องจากไม่มีบัตร จึงไม่มีสิทธิ์ ต้องเร่ร่อนและไปขออยู่อาศัยกับเพื่อนเก่า ที่บ้านเลขที่ 21 หมู่ 15 ต.เสาเภา อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช จึงเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านหลังดังกล่าว พบเป็นบ้านของนางชะนี แสนภักดี อายุ 58 ปี มีอาชีพขายขนมจีนในตลาดแม่กิ้มส้อง ต.เสาเภา อ.สิชล
นางชะนี แสนภักดี เจ้าของบ้านเปิดเผยว่า ตนเป็นม่าย สามีตายไปแล้ว 2 ปี ปกติอาศัยอยู่เพียงคนเดียว จนกระทั่งเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา ได้มีนายสงบ หนูทอง อายุ 76 ปี ชายชราพิการตาข้างขวาบอดสนิท ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของสามี พร้อมด้วยนางจุน ภูชุมแสง อายุ 51 ปี เมียของนายสงบ เดินทางมาขออาศัยอยู่ด้วยชั่วคราว ตนรู้สึกสงสารคนทั้งสอง จึงอนุญาตให้อาศัยอยู่บริเวณหลังบ้านติดกับตัวบ้าน ซึ่งเดิมเป็นโรงเรือนที่ใช้จอดรถ เทพื้นคอนกรีตยกระดับสูงขึ้น 50 ซม. กว้าง 3 เมตร ยาว 3 เมตร ทีแรกพ่อเฒ่าและภรรยาจะขอพักอยู่ชั่วคราวแค่ 10 วัน แต่ตนเห็นว่า หากคนทั้งสองต้องหอบหิ้วเร่ร่อนกันไปเรื่อยๆ ชีวิตจะตกระกำลำบากมากกว่านี้ จึงอนุญาตให้อาศัยอยู่ในโรงรถของตนต่อจนถึงขณะนี้ผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว สภาพความเป็นอยู่มีเพียงเสื่อ หมอน และมุ้งเก่าๆ สำหรับหลับนอนเท่านั้น
ทางด้านนายสงบ หนูทอง พ่อเฒ่าวัย 76 ปี เปิดเผยว่า ตนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ ต.เทพราช อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และได้ออกจากบ้านตั้งแต่ 2505 ไปมีครอบครัวอยู่ที่ ต.เสาธง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ถือเป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง แต่ชีวิตต้องมาพบกับความวิบัติ เนื่องจากความหึงหวงของภรรยาที่ใช้น้ำกรดสาดใส่จนกลายเป็นคนพิการตาขวาบอดสนิท มีแผลเป็นและรอยด่างเต็มใบหน้ารวมทั้งลำคอและลำตัวด้านซ้าย จนต้องเลิกรากับภรรยาไปโดยปริยาย
นายสงบ กล่าวต่อว่า จากนั้นตนออกมาต่อสู้ชีวิตเพียงลำพัง พาร่างกายและดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวตระเวนไปทำงานก่อสร้างในหลายจังหวัด จนเมื่อปี 2518 ได้ไปทำงานที่ จ.สงขลา และได้พบกับนางจุน ภูชุมแสง อายุ 51 ปี มีภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านเลขที่ 107 หมู่ 4 ต.ทุ่งโพธิ์ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ซึ่งเป็นคนงานก่อสร้างด้วยกัน จึงตกลงปลงใจเช่าบ้านอยู่กินเป็นสามีภรรยามาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อตนมีอายุมากขึ้น สุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ตามประสาคนแก่ ไม่สามารถทำงานก่อสร้างหรือรับจ้างหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ ภาระจึงไปตกอยู่กับนางจุน เป็นผู้ออกไปหางานรับจ้าง หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็อยู่กันอย่างอดๆ อยากๆ จนกระทั่งนางจุนเมียรักเกิดล้มป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในมดลูก หลังจากผ่าตัดออกมากลับเดินไม่ได้มากว่า 1 ปี และกลายเป็นคนพิการไปอีกคน ทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนลำบากมากขึ้น ประกอบกับตนทำบัตรประจำตัวประชาชนหายตอนที่ทำงานก่อสร้างที่ จ.สงขลา และหลังจากนั้นไม่ได้ทำบัตรอีกเลย ตนจึงไม่ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึงคนพิการในขณะที่นางจุน แม้จะมีบัตรประจำประชาชน แต่ไม่เคยเดินทางกลับไปภูมิลำเนาเดิมที่ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร จึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้พิการได้เช่นกัน
พ่อเฒ่าชราตาเดียว กล่าวอีกว่า ตนและนางจุนอยู่กินกันมาหลายสิบปี ตระเวนรับจ้างทำงานก่อสร้างและเช่าบ้านอยู่มาตลอด แต่ยิ่งนานวันชีวิตยิ่งลำบากเพิ่มมากขึ้น ต้องทนอยู่กันอย่างอดๆ อยากๆ มาตลอด จึงตัดสินใจหอบหิ้วกันกระเสือกกระสนมาหาเพื่อนเก่าที่ ต.เสาเภา อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช แต่ทราบว่าเพื่อนเสียชีวิตไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ยังโชคดีที่นางชะนี ภรรยาของเพื่อนเก่าใจดีให้อาศัยอยู่ในโรงรถ โดยในตอนแรกตั้งใจจะอยู่ชั่วคราวแค่ 10 วัน แต่ไม่รู้จะเร่ร่อนไปทิศทางไหนต่อ ทำให้นางชะนี เจ้าของบ้านสงสาร อนุญาตให้อาศัยอยู่ต่อมาจนถึงขณะนี้กว่า 3 เดือนแล้ว ซึ่งตนและนางจุน เกรงใจนางชะนีมาก เพราะนอกจากให้ที่ซุกหัวนอนแล้วนางชะนี ยังแบ่งข้าวปลา อาหารมาจุนเจือให้ตนทั้งสองได้กินทุกวัน ในขณะที่ตนทั้งสองไม่สามารถช่วยเหลือทำงานแบ่งเบาภาระของนางชะนี เจ้าของบ้านใจบุญได้เลย
"อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือให้ทั้งสองคนได้มีบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อจะได้ขึ้นทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และคนพิการ หากมีผู้ใจบุญยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ก็จะกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง" พ่อเฒ่าตาเดียว กล่าววิงวอนอย่างน่าสงสาร โดยล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ประสานกับนายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.นครศรีธรรมราช และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อพิจารณาหาทางช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการต่อไปแล้ว ส่วนผู้ใจบุญที่อยากจะช่วยเหลือพ่อเฒ่าและเมียพิการ สามารถโทรศัพท์ติดต่อกับนายสงบ ได้ที่หมายเลข 08 6276 5420.
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/515873 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
‘พ่อเฒ่าชราตาเดียว’ สู้ชีวิตตั้งแต่เกิดยันแก่ เคยเป็นผู้รับเหมาร่ำรวย แต่ชะตาพลิกผันถูกเมียขี้หึงสาดน้ำกรดจนตาบอด ได้เมียใหม่คราวนี้พากันเร่ร่อนหางานไปทั่วจนแก่ตัวทำงานไม่ไหว เมียก็มาพิการ สุดท้ายต้องขออาศัยอยู่กับเมียของเพื่อน... นายสงบ หนูทอง อายุ 76 ปี ชายชราพิการตาข้างขวาบอดสนิท และภรรยา เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 3 ส.ค. 58 ผู้สื่อข่าว จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ว่าพบชายชราพิการตาขวาบอด เหลือตาข้างซ้ายที่มองเห็นแต่ก็เลือนรางเต็มที ทั้งไม่เคยได้รับเงินช่วยทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการตามระเบียบของทางราชการเนื่องจากไม่มีบัตร จึงไม่มีสิทธิ์ ต้องเร่ร่อนและไปขออยู่อาศัยกับเพื่อนเก่า ที่บ้านเลขที่ 21 หมู่ 15 ต.เสาเภา อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช จึงเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านหลังดังกล่าว พบเป็นบ้านของนางชะนี แสนภักดี อายุ 58 ปี มีอาชีพขายขนมจีนในตลาดแม่กิ้มส้อง ต.เสาเภา อ.สิชล นางชะนี แสนภักดี เจ้าของบ้านเปิดเผยว่า ตนเป็นม่าย สามีตายไปแล้ว 2 ปี ปกติอาศัยอยู่เพียงคนเดียว จนกระทั่งเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา ได้มีนายสงบ หนูทอง อายุ 76 ปี ชายชราพิการตาข้างขวาบอดสนิท ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของสามี พร้อมด้วยนางจุน ภูชุมแสง อายุ 51 ปี เมียของนายสงบ เดินทางมาขออาศัยอยู่ด้วยชั่วคราว ตนรู้สึกสงสารคนทั้งสอง จึงอนุญาตให้อาศัยอยู่บริเวณหลังบ้านติดกับตัวบ้าน ซึ่งเดิมเป็นโรงเรือนที่ใช้จอดรถ เทพื้นคอนกรีตยกระดับสูงขึ้น 50 ซม. กว้าง 3 เมตร ยาว 3 เมตร ทีแรกพ่อเฒ่าและภรรยาจะขอพักอยู่ชั่วคราวแค่ 10 วัน แต่ตนเห็นว่า หากคนทั้งสองต้องหอบหิ้วเร่ร่อนกันไปเรื่อยๆ ชีวิตจะตกระกำลำบากมากกว่านี้ จึงอนุญาตให้อาศัยอยู่ในโรงรถของตนต่อจนถึงขณะนี้ผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว สภาพความเป็นอยู่มีเพียงเสื่อ หมอน และมุ้งเก่าๆ สำหรับหลับนอนเท่านั้น ทางด้านนายสงบ หนูทอง พ่อเฒ่าวัย 76 ปี เปิดเผยว่า ตนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ ต.เทพราช อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และได้ออกจากบ้านตั้งแต่ 2505 ไปมีครอบครัวอยู่ที่ ต.เสาธง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ถือเป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง แต่ชีวิตต้องมาพบกับความวิบัติ เนื่องจากความหึงหวงของภรรยาที่ใช้น้ำกรดสาดใส่จนกลายเป็นคนพิการตาขวาบอดสนิท มีแผลเป็นและรอยด่างเต็มใบหน้ารวมทั้งลำคอและลำตัวด้านซ้าย จนต้องเลิกรากับภรรยาไปโดยปริยาย นายสงบ กล่าวต่อว่า จากนั้นตนออกมาต่อสู้ชีวิตเพียงลำพัง พาร่างกายและดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวตระเวนไปทำงานก่อสร้างในหลายจังหวัด จนเมื่อปี 2518 ได้ไปทำงานที่ จ.สงขลา และได้พบกับนางจุน ภูชุมแสง อายุ 51 ปี มีภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านเลขที่ 107 หมู่ 4 ต.ทุ่งโพธิ์ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ซึ่งเป็นคนงานก่อสร้างด้วยกัน จึงตกลงปลงใจเช่าบ้านอยู่กินเป็นสามีภรรยามาจนถึงทุกวันนี้ ที่พักอาศัยชั่วคราวในโรงเรือนที่ใช้จอดรถ อย่างไรก็ตาม เมื่อตนมีอายุมากขึ้น สุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ตามประสาคนแก่ ไม่สามารถทำงานก่อสร้างหรือรับจ้างหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ ภาระจึงไปตกอยู่กับนางจุน เป็นผู้ออกไปหางานรับจ้าง หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็อยู่กันอย่างอดๆ อยากๆ จนกระทั่งนางจุนเมียรักเกิดล้มป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในมดลูก หลังจากผ่าตัดออกมากลับเดินไม่ได้มากว่า 1 ปี และกลายเป็นคนพิการไปอีกคน ทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนลำบากมากขึ้น ประกอบกับตนทำบัตรประจำตัวประชาชนหายตอนที่ทำงานก่อสร้างที่ จ.สงขลา และหลังจากนั้นไม่ได้ทำบัตรอีกเลย ตนจึงไม่ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึงคนพิการในขณะที่นางจุน แม้จะมีบัตรประจำประชาชน แต่ไม่เคยเดินทางกลับไปภูมิลำเนาเดิมที่ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร จึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้พิการได้เช่นกัน พ่อเฒ่าชราตาเดียว กล่าวอีกว่า ตนและนางจุนอยู่กินกันมาหลายสิบปี ตระเวนรับจ้างทำงานก่อสร้างและเช่าบ้านอยู่มาตลอด แต่ยิ่งนานวันชีวิตยิ่งลำบากเพิ่มมากขึ้น ต้องทนอยู่กันอย่างอดๆ อยากๆ มาตลอด จึงตัดสินใจหอบหิ้วกันกระเสือกกระสนมาหาเพื่อนเก่าที่ ต.เสาเภา อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช แต่ทราบว่าเพื่อนเสียชีวิตไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ยังโชคดีที่นางชะนี ภรรยาของเพื่อนเก่าใจดีให้อาศัยอยู่ในโรงรถ โดยในตอนแรกตั้งใจจะอยู่ชั่วคราวแค่ 10 วัน แต่ไม่รู้จะเร่ร่อนไปทิศทางไหนต่อ ทำให้นางชะนี เจ้าของบ้านสงสาร อนุญาตให้อาศัยอยู่ต่อมาจนถึงขณะนี้กว่า 3 เดือนแล้ว ซึ่งตนและนางจุน เกรงใจนางชะนีมาก เพราะนอกจากให้ที่ซุกหัวนอนแล้วนางชะนี ยังแบ่งข้าวปลา อาหารมาจุนเจือให้ตนทั้งสองได้กินทุกวัน ในขณะที่ตนทั้งสองไม่สามารถช่วยเหลือทำงานแบ่งเบาภาระของนางชะนี เจ้าของบ้านใจบุญได้เลย "อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือให้ทั้งสองคนได้มีบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อจะได้ขึ้นทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และคนพิการ หากมีผู้ใจบุญยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ก็จะกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง" พ่อเฒ่าตาเดียว กล่าววิงวอนอย่างน่าสงสาร โดยล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ประสานกับนายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.นครศรีธรรมราช และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อพิจารณาหาทางช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการต่อไปแล้ว ส่วนผู้ใจบุญที่อยากจะช่วยเหลือพ่อเฒ่าและเมียพิการ สามารถโทรศัพท์ติดต่อกับนายสงบ ได้ที่หมายเลข 08 6276 5420. ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/515873
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)