มืดมิดเดียวดาย ยายตาบอด อาศัยฟืนไฟนำทางชีวิต
ในทุกวันของใครหลายคน มักได้ยลแสงอรุณเป็นบุญตาและนำพาใช้ประโยชน์ดำเนินชีวิตรวมถึงประกอบกิจการเลี้ยงชีพ กลับกัน ความปกติสุขเช่นนี้ มีบางคนอาจไม่เคยได้รับตั้งแต่กำเนิด หรือ เคยได้รับเพียงไม่กี่เพลา เวลาที่เหลือ คือ “ความมืดมิดสนิทตลอดชีวิต”
MThai News ขอนำเสนอเรื่องราวของคุณยายบุญช่วย (แป๋ง) เกิดมี อายุ 78 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91 ม.6 ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (แถวชุมชนวัดสะพานสูง) ซึ่งดวงตาบอดทั้ง 2 ข้าง และอาศัยอยู่เพียงลำพัง ต้องช่วยเหลือตัวเองในการหุงหาอาหารและประคับประคองร่างกายให้รอดพ้นความมืดมิดในแต่ละวัน
หากเริ่มต้นด้วยเส้นทางไปบ้านคุณยายนั้น นับว่าหายากพอสมควร ต้องเข้าปากซอยแก้วห่วงนาค ชุมชนวัดสะพานสูง แล้วคอยถามคนละแวกนั้นให้นำทางไปยังบ้าน พร้อมต้องเดินทางเท้าลุยเข้าไปในสวน และยังต้องเผชิญกับฝูงสุนัขหลายสิบตัวที่ดูเหมือนจะดุร้าย และคอยอาศัยอยู่ในแต่บ้านของละแวกนั้น โดยชาวบ้านแนะนำต้องคอยถือไม้ป้องกันตัวไว้ตลอดจนกว่าจะเดินไปถึงบ้านคุณยาย ที่ต้องเกริ่นด้วยเรื่องของเส้นทาง เพราะอยากให้รู้ว่า “ความลำบากของเส้นทาง ไม่ใช่อุปสรรคของคุณยาย” แม้จะ”ตาบอด” แต่สามารถเดินทางด้วยตนเองไปตลาดนัดและไหว้พระวัดสะพานสูงได้ทุกสัปดาห์
เมื่อถึงยังบ้านคุณยาย ต้องตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง เพราะหูยายไม่ค่อยได้ยินแล้วประกอบกับการเคลื่อนไหวที่เดินออกมารับแขกต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอายุมากและสุขภาพเริ่มไม่อำนวย น้ำเสียงและรอยยิ้มตลอดเวลาบนใบหน้า ทำให้รู้คุณยายเป็นคนร่าเริง แม้จะหลงๆลืมๆพูดไม่ค่อยรู้เรื่องบ้าง แต่พอจับใจความได้ว่า เหตุที่คุณยายตาบอดนั้น เกิดจากอุบัติเหตุขณะเล่นกับเพื่อนเมื่ออายุ 2 ขวบ โดยลื่นล้มในนาข้าวจนหน้ากระแทกกับพื้นซึ่งเป็นโคลนตมจนทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง แต่ยังพอเห็นได้ลางๆ
ส่วนการที่อยู่เพียงลำพังนั้น เนื่องจากพ่อแม่ได้จากไปเมื่อปี 2535 จึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านที่อาศัยที่ดินผู้อื่นกว่า 50 ปี โชคดีที่ผู้ซื้อที่เกิดความสงสาร ไม่มีการขับไล่หรือคิดค่าเช่า ขณะที่ความเป็นอยู่ คุณยายอาศัยแสงสว่างในความมืดด้วยเปลวไฟจากการก่อฟืนไม้ที่หามา พร้อมใช้ในการหุงต้มอาหารไปในตัว ซึ่งก่อนนั้น ด้วยสายตาฝ้าฟางต้องออกหาฟืนไม้เอง ศรีษะได้กระแทกกับต้นไม้เต็มแรง จนเกิดแผลปูดบวมมาจนวันนี้ แต่ขณะนี้ได้มีเพื่อนบ้านคอยช่วยหามาให้ ส่วนการเคลื่อนไหวภายในบ้าน ได้อาศัยประสบการณ์หลายสิบปีในการลูบคลำจนจดจำทุกซอกมุมของบ้านได้อย่างชัดเจน
หากพูดถึงญาติพี่น้อง มีบ้านญาติฝั่งพ่อซึ่งอยู่ข้างบ้าน แต่มีปัญหากันมาสมัยคุณยายยังสาว จึงตัดความสัมพันธ์ เหลือเพียงแต่ญาติฝั่งแม่ ซึ่งนานๆครั้งจะแวะมาเยี่ยมเยียน ส่วนใหญ่ต้องการมารับให้ไปอยู่ด้วย แต่คุณยายไม่ต้องการ ยืนยันขออยู่ลำพังจนตายในบ้านหลังนี้ที่พ่อแม่ปลูกไว้ให้ ยอมรับมีหลายคนเป็นห่วงการเป็นอยู่ เพราะเคยลื่นล้มในบ้านหลายครั้ง และเสี่ยงต่อการถูกสุนัขกัดและเกิดอุบัติเหตุได้ หากครั้งไหนต้องเดินทางไปตลาดหรือทำบุญที่วัดสะพานสูง
“แม้การอยู่ของฉันจะลำบาก มองไม่เห็น ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว สุขภาพแย่แก่ตัวขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่ต้องการไปไหนทั้งนั้น แม้จะมีญาติฝั่งนั้นมาคอยรับไปอยู่ด้วย ก็ไม่ไป จะขออยู่จนตายในบ้านหลังที่พ่อแม่ปลูกไว้ กับข้าวของที่พ่อแม่เคยซื้อไว้ให้เมื่อครั้งฉันยังเป็นเด็ก”
เมื่อถามถึงเรื่องเงินติดตัวและค่าใช้จ่าย คุณยายบอกว่า อยู่ได้เพราะเงินจากผู้สูงอายุและคนพิการ แม้เพียงไม่กี่ร้อยบาทต่อเดือนก็พอประทังชีวิตไปได้ อีกทั้งที่ผ่านมายังมีคนใจบุญและชาวบ้านบางคนคอยหยิบยื่นเงินให้บ้าง ก็นำมารวมๆเก็บสะสมไว้ และล่าสุดยังได้เงินจาก “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ที่มาเยี่ยมเยียนและบริจาคเงินให้ 5,000 บาท พร้อมซื้อของใช้ใหม่รวมถึงเตาแก๊ส เพื่อไว้คอยหุงต้มอาหาร ซึ่งมีคนเคยสอนวิธีใช้แล้ว แต่ยังไม่มั่นใจความปลอดภัย หากไม่จำเป็นก็จะไม่ไปแตะต้อง
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนอกจากเสียค่าน้ำประปาไม่ถึงร้อยบาทต่อเดือน ก็ยังมีค่าอาหารที่ต้องออกไปซื้อเองบ้าง หรือ ฝากชาวบ้านซื้อเข้ามาให้ รวมๆเดือนละไม่กี่พันบาท เพราะกินอยู่อย่างประหยัด
ที่สำคัญ ช่วงเดือนก่อนได้พบกับหญิงสาวใจดี ที่พาคุณยายมาส่งถึงบ้านเมื่อครั้งพบกันที่วัดสะพานสูง หลังจากนั้นชีวิตก็พลิกผันจากโดดเดี่ยวลำพังกลับกลายมีคนคอยดูแล แม้จะเข้ามาหาซื้ออาหารมาให้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง พร้อมกับคอยพาเหล่าเพื่อนมาซ่อมแซมบ้านให้ เท่านี้คุณยายก็รู้สึกซาบซึ้งและอุ่นใจ เพราะหากหวังภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือนั้น คงเป็นไปได้ยาก เพราะนานครั้งถึงจะมาเข้าถามไถ่กันสักครา
“เรื่องเงินฉันไม่ค่อยขัดสนเท่าไร เพราะมักมีคนใจดีคอยให้ฉัน 20 บ้าง 50 บ้าง ฉันก็เก็บๆไว้ใช้จ่าย ก็มีบิณฑ์นี่แหละที่มาล่าสุด แถมยังช่วยหลายอย่างๆ และให้ฉันเยอะอีก แต่ที่ขาดไม่ได้ก็แม่หนูกับแฟนเขา ที่เเวะเวียนมาหา ให้เงิน ซื้อข้าวปลา หุงหาและพูดคุยกันฉัน แม้เขามาไม่ได้ทุกวัน แต่ฉันอุ่นใจแล้ว ฉันยังมีคนที่คอยห่วงใยจริงๆ นึกว่าชีวิตนี้จะโดดเดี่ยวเสียแล้ว นึกแล้วยังเสียใจอยู่เรื่องเดียว คือ ฉันไม่สามารถมองเห็น และจดจำ คนที่ทำดีกับฉันได้เลย”
MThai News จึงติดต่อไปยังหญิงสาวใจดีรายนี้ คือ คุณอุษา บุญศรี อายุ 38 ปี เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ผู้ที่คอยดูแลคุณยายในช่วงนี้ ได้ย้อนเรื่องราวให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา บังเอิญไปพบเจอคุณยายที่วัดสะพานสูง และคุณยายเดินชนโต๊ะจนข้าวของล้ม จึงเข้าไปช่วยพยุง พบว่าคุณยายตาบอด จึงยิ่งสงสารและขอพาคุณยายไปส่งที่บ้าน ตลอดระยะทางที่เดินไปบ้านคุณยาย รู้สึกแปลกใจ เหตุใดจึงเดินออกมาถึงข้างนอกได้ ทั้งที่เส้นทางซับซ้อน ทางเดินลำบาก และยังเสี่ยงถูกสุนัขหลายตัวกัดได้ เมื่อถามไถ่ชีวิตคุณยายก็ยิ่งสงสาร จึงพยายามเข้ามาหาและดูแลพร้อมมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง
“ขอชื่นชมยาย ทั้งที่อายุมาก แต่สามารถเคลื่อนไหวในบ้านและนอกบ้านได้อย่างคล่องแคล่ว มีเพียงไม้เท้าคอยนำทางให้เวลาไปไหน ยิ่งข้างนอกอันตรายมาก ทั้งเสี่ยงสุนัข ตกคลอง หกล้ม และรถชน แต่คุณยายก็ยังใช้ชีวิตปกติได้ เป็นห่วงทุกย่างก้าวเคลื่อนไหวของยายจริงๆ”
ต่อมา คุณอุษาได้นำเรื่องราวคุณยายไปโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวจนกลุ่มเพื่อนเกิดการรวมตัวเข้ามาบริจาคและช่วยซ่อมแซมบ้านและห้องน้ำให้คุณยาย และเพื่อนๆได้นำเรื่องดังกล่าวโพสต์ไปยังเพจ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” จนได้รับการติดต่อมา และพร้อมได้พาคุณบิณฑ์ไปลงพื้นที่ หลังจากนั้นก็มีกระแสตอบรับจาก MThai พร้อมขอตำหนิหน่วยงานท้องถิ่น ที่เพิกเฉย ไม่ค่อยมาดูแลคุณภาพชีวิตพร้อมปล่อยให้บ้านและห้องน้ำคุณยายทรุดโทรม ซึ่งเสี่ยงต่อเกิดการอุบัติเหตุได้
“หน่วยงานท้องถิ่นเฉยเมยไปไหม ไม่ใส่ใจเลย นี่แค่คนชราตาบอดรายเดียวในพื้นที่ ยังไม่ดูแล ต้องรอให้ บิณฑ์ และ MThai ลงพื้นที่ จึงกระเตื้องขึ้นมาบ้าง รู้จากชาวบ้านบอกหากคนดังไม่ สื่อไม่ลง เรื่องนี้คงเงียบหายไร้การเหลียวแลตามเดิม”
ด้านความช่วยเหลือคุณยายของคนในชุมชนนั้น คุณสมบัติ สุดห่วง อายุ 77 ปี เล่าว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจเรื่องคุณยายแล้ว อาจเพราะปมปัญหาในอดีตทางบ้านคุณยาย จึงทำให้คนละแวกนี้เมินเฉย มีเพียงส่วนหนึ่งที่ไม่ถือสาคุณยายยังคอยแวะเวียนมาหา ซื้อข้าวปลามาฝากบ้าง เพราะสงสารที่คุณยายตาบอด และยังต้องอยู่ลำพังมาหลายสิบปี ไร้ญาติขาดมิตร
ซึ่งในส่วนของลุงสมบัติ ได้คอยช่วยเหลือคุณยายในการหาฟืนไฟ และเก็บผักผลไม้จากสวนมาให้ พร้อมแวะเวียนเข้ามาดูอยู่บ่อยครั้ง กังวลว่าหากคุณยายเป็นอะไรขึ้นมา จะไม่มีใครเห็น ยอมรับ สงสาร ไม่อยากเห็นคุณยายต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ แม้เจ้าตัวจะพูดอยู่เสมอ อยู่ปกติสุขไม่ทุกข์ใจใดเลยก็ตาม
“อยากเห็นเขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่อยู่อย่างไร้ญาติเช่นนี้ มีคนคอยหุงหาให้กิน พาไปไหนมาไหนบ้าง หากเป็นอะไรขึ้นมา กลัวจะไม่มีใครเห็น อยากให้ญาติมาดูบ้าง แม้เขาจะไม่อยากไปอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ควรทิ้งเขาไว้แบบนี้”
อย่างไรก็ตาม หากผู้ใจบุญท่านใดอยากให้ความช่วยเหลือคุณยายบุญช่วยสามารถเข้ามาได้บ้านเลขที่ 91 ม.6 ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หรือมอบเงินช่วยเหลือผ่านทางบัญชี 001-0-29373-6 นายนรุตม์ จิตตะทัต (เพื่อคุณยายช่วย เกิดมี) ธนาคารกรุงไทย สาขาเยาวราช
ชัยพัฒน์ แกล้วทนงค์ รายงาน / ธเนตร พุทธิตระกูล ถ่ายภาพ
ติดตามสกู๊ปข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่ news.mthai.com
ขอบคุณ... http://news.mthai.com/hot-news/general-news/456186.html
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ในทุกวันของใครหลายคน มักได้ยลแสงอรุณเป็นบุญตาและนำพาใช้ประโยชน์ดำเนินชีวิตรวมถึงประกอบกิจการเลี้ยงชีพ กลับกัน ความปกติสุขเช่นนี้ มีบางคนอาจไม่เคยได้รับตั้งแต่กำเนิด หรือ เคยได้รับเพียงไม่กี่เพลา เวลาที่เหลือ คือ “ความมืดมิดสนิทตลอดชีวิต” คุณยายบุญช่วย อายุ 78 ปี พิการตาบอดทั้งสองข้าง MThai News ขอนำเสนอเรื่องราวของคุณยายบุญช่วย (แป๋ง) เกิดมี อายุ 78 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91 ม.6 ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (แถวชุมชนวัดสะพานสูง) ซึ่งดวงตาบอดทั้ง 2 ข้าง และอาศัยอยู่เพียงลำพัง ต้องช่วยเหลือตัวเองในการหุงหาอาหารและประคับประคองร่างกายให้รอดพ้นความมืดมิดในแต่ละวัน หากเริ่มต้นด้วยเส้นทางไปบ้านคุณยายนั้น นับว่าหายากพอสมควร ต้องเข้าปากซอยแก้วห่วงนาค ชุมชนวัดสะพานสูง แล้วคอยถามคนละแวกนั้นให้นำทางไปยังบ้าน พร้อมต้องเดินทางเท้าลุยเข้าไปในสวน และยังต้องเผชิญกับฝูงสุนัขหลายสิบตัวที่ดูเหมือนจะดุร้าย และคอยอาศัยอยู่ในแต่บ้านของละแวกนั้น โดยชาวบ้านแนะนำต้องคอยถือไม้ป้องกันตัวไว้ตลอดจนกว่าจะเดินไปถึงบ้านคุณยาย ที่ต้องเกริ่นด้วยเรื่องของเส้นทาง เพราะอยากให้รู้ว่า “ความลำบากของเส้นทาง ไม่ใช่อุปสรรคของคุณยาย” แม้จะ”ตาบอด” แต่สามารถเดินทางด้วยตนเองไปตลาดนัดและไหว้พระวัดสะพานสูงได้ทุกสัปดาห์ เมื่อถึงยังบ้านคุณยาย ต้องตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง เพราะหูยายไม่ค่อยได้ยินแล้วประกอบกับการเคลื่อนไหวที่เดินออกมารับแขกต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอายุมากและสุขภาพเริ่มไม่อำนวย น้ำเสียงและรอยยิ้มตลอดเวลาบนใบหน้า ทำให้รู้คุณยายเป็นคนร่าเริง แม้จะหลงๆลืมๆพูดไม่ค่อยรู้เรื่องบ้าง แต่พอจับใจความได้ว่า เหตุที่คุณยายตาบอดนั้น เกิดจากอุบัติเหตุขณะเล่นกับเพื่อนเมื่ออายุ 2 ขวบ โดยลื่นล้มในนาข้าวจนหน้ากระแทกกับพื้นซึ่งเป็นโคลนตมจนทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง แต่ยังพอเห็นได้ลางๆ สภาพที่อยู่อาศัยของคุณยายบุญช่วย ส่วนการที่อยู่เพียงลำพังนั้น เนื่องจากพ่อแม่ได้จากไปเมื่อปี 2535 จึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านที่อาศัยที่ดินผู้อื่นกว่า 50 ปี โชคดีที่ผู้ซื้อที่เกิดความสงสาร ไม่มีการขับไล่หรือคิดค่าเช่า ขณะที่ความเป็นอยู่ คุณยายอาศัยแสงสว่างในความมืดด้วยเปลวไฟจากการก่อฟืนไม้ที่หามา พร้อมใช้ในการหุงต้มอาหารไปในตัว ซึ่งก่อนนั้น ด้วยสายตาฝ้าฟางต้องออกหาฟืนไม้เอง ศรีษะได้กระแทกกับต้นไม้เต็มแรง จนเกิดแผลปูดบวมมาจนวันนี้ แต่ขณะนี้ได้มีเพื่อนบ้านคอยช่วยหามาให้ ส่วนการเคลื่อนไหวภายในบ้าน ได้อาศัยประสบการณ์หลายสิบปีในการลูบคลำจนจดจำทุกซอกมุมของบ้านได้อย่างชัดเจน หากพูดถึงญาติพี่น้อง มีบ้านญาติฝั่งพ่อซึ่งอยู่ข้างบ้าน แต่มีปัญหากันมาสมัยคุณยายยังสาว จึงตัดความสัมพันธ์ เหลือเพียงแต่ญาติฝั่งแม่ ซึ่งนานๆครั้งจะแวะมาเยี่ยมเยียน ส่วนใหญ่ต้องการมารับให้ไปอยู่ด้วย แต่คุณยายไม่ต้องการ ยืนยันขออยู่ลำพังจนตายในบ้านหลังนี้ที่พ่อแม่ปลูกไว้ให้ ยอมรับมีหลายคนเป็นห่วงการเป็นอยู่ เพราะเคยลื่นล้มในบ้านหลายครั้ง และเสี่ยงต่อการถูกสุนัขกัดและเกิดอุบัติเหตุได้ หากครั้งไหนต้องเดินทางไปตลาดหรือทำบุญที่วัดสะพานสูง “แม้การอยู่ของฉันจะลำบาก มองไม่เห็น ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว สุขภาพแย่แก่ตัวขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่ต้องการไปไหนทั้งนั้น แม้จะมีญาติฝั่งนั้นมาคอยรับไปอยู่ด้วย ก็ไม่ไป จะขออยู่จนตายในบ้านหลังที่พ่อแม่ปลูกไว้ กับข้าวของที่พ่อแม่เคยซื้อไว้ให้เมื่อครั้งฉันยังเป็นเด็ก” เมื่อถามถึงเรื่องเงินติดตัวและค่าใช้จ่าย คุณยายบอกว่า อยู่ได้เพราะเงินจากผู้สูงอายุและคนพิการ แม้เพียงไม่กี่ร้อยบาทต่อเดือนก็พอประทังชีวิตไปได้ อีกทั้งที่ผ่านมายังมีคนใจบุญและชาวบ้านบางคนคอยหยิบยื่นเงินให้บ้าง ก็นำมารวมๆเก็บสะสมไว้ และล่าสุดยังได้เงินจาก “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ที่มาเยี่ยมเยียนและบริจาคเงินให้ 5,000 บาท พร้อมซื้อของใช้ใหม่รวมถึงเตาแก๊ส เพื่อไว้คอยหุงต้มอาหาร ซึ่งมีคนเคยสอนวิธีใช้แล้ว แต่ยังไม่มั่นใจความปลอดภัย หากไม่จำเป็นก็จะไม่ไปแตะต้อง ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนอกจากเสียค่าน้ำประปาไม่ถึงร้อยบาทต่อเดือน ก็ยังมีค่าอาหารที่ต้องออกไปซื้อเองบ้าง หรือ ฝากชาวบ้านซื้อเข้ามาให้ รวมๆเดือนละไม่กี่พันบาท เพราะกินอยู่อย่างประหยัด ที่สำคัญ ช่วงเดือนก่อนได้พบกับหญิงสาวใจดี ที่พาคุณยายมาส่งถึงบ้านเมื่อครั้งพบกันที่วัดสะพานสูง หลังจากนั้นชีวิตก็พลิกผันจากโดดเดี่ยวลำพังกลับกลายมีคนคอยดูแล แม้จะเข้ามาหาซื้ออาหารมาให้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง พร้อมกับคอยพาเหล่าเพื่อนมาซ่อมแซมบ้านให้ เท่านี้คุณยายก็รู้สึกซาบซึ้งและอุ่นใจ เพราะหากหวังภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือนั้น คงเป็นไปได้ยาก เพราะนานครั้งถึงจะมาเข้าถามไถ่กันสักครา “เรื่องเงินฉันไม่ค่อยขัดสนเท่าไร เพราะมักมีคนใจดีคอยให้ฉัน 20 บ้าง 50 บ้าง ฉันก็เก็บๆไว้ใช้จ่าย ก็มีบิณฑ์นี่แหละที่มาล่าสุด แถมยังช่วยหลายอย่างๆ และให้ฉันเยอะอีก แต่ที่ขาดไม่ได้ก็แม่หนูกับแฟนเขา ที่เเวะเวียนมาหา ให้เงิน ซื้อข้าวปลา หุงหาและพูดคุยกันฉัน แม้เขามาไม่ได้ทุกวัน แต่ฉันอุ่นใจแล้ว ฉันยังมีคนที่คอยห่วงใยจริงๆ นึกว่าชีวิตนี้จะโดดเดี่ยวเสียแล้ว นึกแล้วยังเสียใจอยู่เรื่องเดียว คือ ฉันไม่สามารถมองเห็น และจดจำ คนที่ทำดีกับฉันได้เลย” MThai News จึงติดต่อไปยังหญิงสาวใจดีรายนี้ คือ คุณอุษา บุญศรี อายุ 38 ปี เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ผู้ที่คอยดูแลคุณยายในช่วงนี้ ได้ย้อนเรื่องราวให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา บังเอิญไปพบเจอคุณยายที่วัดสะพานสูง และคุณยายเดินชนโต๊ะจนข้าวของล้ม จึงเข้าไปช่วยพยุง พบว่าคุณยายตาบอด จึงยิ่งสงสารและขอพาคุณยายไปส่งที่บ้าน ตลอดระยะทางที่เดินไปบ้านคุณยาย รู้สึกแปลกใจ เหตุใดจึงเดินออกมาถึงข้างนอกได้ ทั้งที่เส้นทางซับซ้อน ทางเดินลำบาก และยังเสี่ยงถูกสุนัขหลายตัวกัดได้ เมื่อถามไถ่ชีวิตคุณยายก็ยิ่งสงสาร จึงพยายามเข้ามาหาและดูแลพร้อมมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง จิตอาสา ช่วยซ่อมแซม รั่วทางเดินเข้าบ้านของคุณยายบุญช่วย “ขอชื่นชมยาย ทั้งที่อายุมาก แต่สามารถเคลื่อนไหวในบ้านและนอกบ้านได้อย่างคล่องแคล่ว มีเพียงไม้เท้าคอยนำทางให้เวลาไปไหน ยิ่งข้างนอกอันตรายมาก ทั้งเสี่ยงสุนัข ตกคลอง หกล้ม และรถชน แต่คุณยายก็ยังใช้ชีวิตปกติได้ เป็นห่วงทุกย่างก้าวเคลื่อนไหวของยายจริงๆ” ต่อมา คุณอุษาได้นำเรื่องราวคุณยายไปโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวจนกลุ่มเพื่อนเกิดการรวมตัวเข้ามาบริจาคและช่วยซ่อมแซมบ้านและห้องน้ำให้คุณยาย และเพื่อนๆได้นำเรื่องดังกล่าวโพสต์ไปยังเพจ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” จนได้รับการติดต่อมา และพร้อมได้พาคุณบิณฑ์ไปลงพื้นที่ หลังจากนั้นก็มีกระแสตอบรับจาก MThai พร้อมขอตำหนิหน่วยงานท้องถิ่น ที่เพิกเฉย ไม่ค่อยมาดูแลคุณภาพชีวิตพร้อมปล่อยให้บ้านและห้องน้ำคุณยายทรุดโทรม ซึ่งเสี่ยงต่อเกิดการอุบัติเหตุได้ “หน่วยงานท้องถิ่นเฉยเมยไปไหม ไม่ใส่ใจเลย นี่แค่คนชราตาบอดรายเดียวในพื้นที่ ยังไม่ดูแล ต้องรอให้ บิณฑ์ และ MThai ลงพื้นที่ จึงกระเตื้องขึ้นมาบ้าง รู้จากชาวบ้านบอกหากคนดังไม่ สื่อไม่ลง เรื่องนี้คงเงียบหายไร้การเหลียวแลตามเดิม” ด้านความช่วยเหลือคุณยายของคนในชุมชนนั้น คุณสมบัติ สุดห่วง อายุ 77 ปี เล่าว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจเรื่องคุณยายแล้ว อาจเพราะปมปัญหาในอดีตทางบ้านคุณยาย จึงทำให้คนละแวกนี้เมินเฉย มีเพียงส่วนหนึ่งที่ไม่ถือสาคุณยายยังคอยแวะเวียนมาหา ซื้อข้าวปลามาฝากบ้าง เพราะสงสารที่คุณยายตาบอด และยังต้องอยู่ลำพังมาหลายสิบปี ไร้ญาติขาดมิตร ซึ่งในส่วนของลุงสมบัติ ได้คอยช่วยเหลือคุณยายในการหาฟืนไฟ และเก็บผักผลไม้จากสวนมาให้ พร้อมแวะเวียนเข้ามาดูอยู่บ่อยครั้ง กังวลว่าหากคุณยายเป็นอะไรขึ้นมา จะไม่มีใครเห็น ยอมรับ สงสาร ไม่อยากเห็นคุณยายต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ แม้เจ้าตัวจะพูดอยู่เสมอ อยู่ปกติสุขไม่ทุกข์ใจใดเลยก็ตาม “อยากเห็นเขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่อยู่อย่างไร้ญาติเช่นนี้ มีคนคอยหุงหาให้กิน พาไปไหนมาไหนบ้าง หากเป็นอะไรขึ้นมา กลัวจะไม่มีใครเห็น อยากให้ญาติมาดูบ้าง แม้เขาจะไม่อยากไปอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ควรทิ้งเขาไว้แบบนี้” อย่างไรก็ตาม หากผู้ใจบุญท่านใดอยากให้ความช่วยเหลือคุณยายบุญช่วยสามารถเข้ามาได้บ้านเลขที่ 91 ม.6 ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หรือมอบเงินช่วยเหลือผ่านทางบัญชี 001-0-29373-6 นายนรุตม์ จิตตะทัต (เพื่อคุณยายช่วย เกิดมี) ธนาคารกรุงไทย สาขาเยาวราช ชัยพัฒน์ แกล้วทนงค์ รายงาน / ธเนตร พุทธิตระกูล ถ่ายภาพ ติดตามสกู๊ปข่าวอื่นๆ
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)