พระสงฆ์พิการ ถูกตัดขา นั่งรถเข็นไฟฟ้าออกบิณฑบาต
พระสงฆ์พิการตัดขานั่งรถเข็นไฟฟ้าออกบิณฑบาต และปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างไม่บกพร่อง กวาดลานกุฏิ ใช้ชีวิตอย่างปกติทั่วไป แม้จะถูกตัดขาแล้ว แต่ใจท่านสู้มาก ยังออกบิณฑบาตอยู่เรื่อย ไม่ท้อแท้ หน้าตาก็ยิ้มสู้ เป็นแบบอย่างให้คนพิการคนทั่วไปลุกขึ้นมาสู้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 เม.ย. 60) เวลา 06.30 น.พระสังกาศ สุภาศักดิ์ พระลูกวัดนิโครธาราม ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง อายุ 67 ปี ซึ่งพิการถูกตัดขาซ้าย นั่งรถเข็นไฟฟ้าออกบิณฑบาต ตลอดเส้นทางจากถนนเพลินพิทักษ์ ยาวเรื่อยไปจนถึงถนนรักษ์จันทร์ เขตเทศบาลนครตรัง ระยะทางกว่า 3 กม. สร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
ซึ่งถึงแม้จะพิการขาขาด แต่พระสังกาศ สุภาศักดิ์ ก็ปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กวาดลานกุฏิ ใช้ชีวิตอย่างปกติทั่วไป ซึ่งพระสังกาศ สุภาศักดิ์ เคยตกเป็นข่าวใหญ่โต เป็นที่สนใจของประชาชนทั่วประเทศ เมื่อประมาณเดือน พ.ค. 2559 ที่ว่า ท่านเดินเหยียบเศษก้อนหินระหว่างออกบิณฑบาต บนถนนรักษ์จันทน์ ในเขตเทศบาลนครตรัง ซึ่งผู้รับเหมางานกำลังปรับปรุงผิวจราจร จนเท้ามีอาการระบม และไปพบแพทย์พบว่า ก้อนหินฝังลงไปในนิ้วเท้า ประกอบกับเป็นโรคเบาหวาน ทำให้แพทย์ต้องตัดนิ้วเท้า 2 นิ้ว คือ นิ้วก้อย และนิ้วนางขาข้างซ้าย
พระสังกาศ สุภาศักดิ์ กล่าวว่า เคยเป็นข่าวใหญ่โต ตัดนิ้วเท้า 2 นิ้ว นอน รพ. อยู่ 51 วัน กลับมาวัดมา ช่วยงานวัด ทำอิฐบล็อกแล้วเกิดพลัดตกลงไปในหลุมเสา ประมาณ 3 เดือน เกิดการอักเสบข้างแผลเดิมขึ้นมา รีบไปหาหมอ ครั้งแรกผ่าแผลไม่มาก ประมาณ 2 สัปดาห์ หมอพบว่าอักเสบอีก รักษาเกือบเดือนก็ไม่ดีขึ้น หมอที่รับผิดชอบติดภารกิจ และมีหมอใหม่มาดูแลรักษาตั้งแต่ 26 พ.ย. 59 ก็ปวดมาก ต้องขึ้นไป รพ.ตรัง วางยาสลบ ล้างแผลสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จึงขอหมอตัดขา ตอนแรกหมอไม่ยอม จะปรึกษาแพทย์พลาสติกให้ เพื่อตัดเนื้อเอาไปปะแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะกลับมาเดินได้ตามปกติหรือไม่ จึงขอร้องให้หมอตัดขาอีก สุดท้ายหมอก็ยอมตัดขาให้ เข้ารับการผ่าตัดและรักษาตัวตั้งแต่ 24 ธ.ค. 2559 นานเกือบ 2 เดือน ออกจาก รพ.ตรัง เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2560
ปัจจุบันกลับมาอยู่ที่วัด พระครูเมธีวรวัฒน์ ท่านเจ้าอาวาสกรุณาบอกบุญญาติโยมรับบริจาคเงินซื้อขาเทียมให้ เป็นวัสดุอย่างดี ประมาณ 3 หมื่นบาท รอไปวัดขนาดขาเดือนหน้า ระหว่างนี้ก็มี คุณวิชญ์ ลีละวิวัฒน์ เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรข้างวัดและเพื่อนๆ เอารถเข็นไฟฟ้ามาถวายให้ ราคา 27,000 บาท อาตมาจะให้เงินก็ไม่เอา คุณโยมวิชญ์ ลีละวิวัฒน์ ยังได้เทคอนกรีตทำทางเดินเพื่อสะดวกในการใช้รถเข็นไฟฟ้าภายในวัด ซึ่งมีรถเข็นไฟฟ้าก็ทำกิจได้หลายอย่าง ถึงจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ได้ทำกิจของสงฆ์
การออกบิณฑบาต ถือเป็น 1 ใน 10 กิจของสงฆ์ ระยะทางที่บิณฑบาตประมาณ 3 กิโลเมตร ไปตามถนนรักษ์จันทร์ สามแยกรักษ์จันทร์ เข้าซอยจำปี ในเขตเทศบาลนครตรัง อาตมาก็จะชิดซ้ายถนนไปอย่างช้าๆ ออกบิณฑบาตตั้งแต่ ตี 5.50 น. ของทุกวัน ใช้เวลาทั้งหมดประมาณชั่วโมงเศษ ก็กลับวัดมาฉันท์เช้าและทำวัตรเช้า
ตอนแรกก็กังวลว่าการนั่งรถเข็นไฟฟ้าจะผิดวินัยสงฆ์หรือไม่ แต่ก็สงสารญาติโยมรอตักบาตร เพราะไม่ค่อยมีพระเดินบาตรในชุมชนที่เดินผ่าน บางครั้งต้องใช้รถเข็นไฟฟ้าขึ้นเนิน และก็มีหลายคนทักท้วงว่าจะอันตราย แต่อาตมาก็ไม่ลำบาก ได้ติดไฟฉายส่องสว่างด้านหน้าข้างราวจับรถเข็นไฟฟ้า ข้างหลังรถก็มีไฟกะพริบที่ทำขึ้นเองเพื่อความปลอดภัย หากต้องออกไปบิณฑบาตเช้ามืด ตอนออกไปบิณฑบาตก็ไปรูปเดียว บาตรวางบนตัก รัดเข็มขัด มีย่าม 2 ใบ ถ้ามีของมากก็จะฝากญาติโยมที่รู้จักไว้ แล้วก็จะเอาเข้ามาให้ที่วัด
พระสังกาศ สุภาศักดิ์ กล่าวอีกว่า สังขารแบบนี้ เราต้องปลง ใจสบายมากอยู่แล้ว ความสุข ความทุกข์อยู่ที่ใจ ทำตัวให้สุขก็สุข ปลงว่าสังขารไม่เที่ยง เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เมื่อเราดูแลอย่างดีที่สุดแล้ว มันไม่อยู่กับเราก็ปล่อยไป
ส่วนเทศบาลนครตรังก็ไม่เคยถือสาอะไรแล้ว รองนายกเทศมนตรีนครตรังและเจ้าหน้าที่ประมาณ 10 คน เคยเข้าไปเยี่ยมตอนตัดนิ้ว 2 นิ้ว เอานมไปให้ 3 แพ็ค แล้วก็ไม่เคยมาเยี่ยมอีกเลย ผู้รับเหมาทำถนนก็เคยมาเยี่ยมกับวิศวกรของ รพ.ตรัง อาตมาพูดให้ฟังว่า ตอนอยู่ กทม. เคยเห็นการทำถนนแบบนี้ ทำถนน เขาบดอัดอย่างดีไม่มีสิ่งแหลมคม ซึ่งตอนนั้นชาวบ้านบ่นกันมาก ที่ถูกตัดนิ้ว ผู้รับเหมาก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไร ถือว่าเป็นวิบากกรรมของอาตมาเอง ไม่เคยคิดร้องเรียนเทศบาลนครตรัง แม้จะมีคนเคยพูดให้ฟ้องร้อง
นางชุติมา อายุ 52 ปี ซึ่งออกมาใส่บาตรกับพระสังกาศ สุภาศักดิ์ เป็นประจำทุกเช้า กล่าวว่า ใส่บาตรกับหลวงตามาตั้งแต่ท่านยังปกติ จนถูกตัดนิ้วและถูกตัดขา เคยไปเยี่ยมท่านที่กุฏิ แม้จะถูกตัดขาแล้ว แต่ใจท่านสู้มาก ยังออกบิณฑบาตอยู่เรื่อย ไม่ท้อแท้ หน้าตาก็ยิ้มสู้ เป็นแบบอย่างให้คนพิการคนทั่วไปลุกขึ้นมาสู้ ยังมีหนทาง ชาวบ้านแถวนี้เลื่อมใสท่าน เพราะท่านพูดจาดี อัธยาศัยดี ความคิดดี ไม่มีอคติ ไม่ทุกข์ใจ
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
พระสังกาศ สุภาศักดิ์ พระลูกวัดนิโครธาราม ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง อายุ 67 ปี ซึ่งพิการถูกตัดขาซ้าย นั่งรถเข็นไฟฟ้าออกบิณฑบาต ตลอดเส้นทางจากถนนเพลินพิทักษ์ พระสงฆ์พิการตัดขานั่งรถเข็นไฟฟ้าออกบิณฑบาต และปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างไม่บกพร่อง กวาดลานกุฏิ ใช้ชีวิตอย่างปกติทั่วไป แม้จะถูกตัดขาแล้ว แต่ใจท่านสู้มาก ยังออกบิณฑบาตอยู่เรื่อย ไม่ท้อแท้ หน้าตาก็ยิ้มสู้ เป็นแบบอย่างให้คนพิการคนทั่วไปลุกขึ้นมาสู้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 เม.ย. 60) เวลา 06.30 น.พระสังกาศ สุภาศักดิ์ พระลูกวัดนิโครธาราม ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง อายุ 67 ปี ซึ่งพิการถูกตัดขาซ้าย นั่งรถเข็นไฟฟ้าออกบิณฑบาต ตลอดเส้นทางจากถนนเพลินพิทักษ์ ยาวเรื่อยไปจนถึงถนนรักษ์จันทร์ เขตเทศบาลนครตรัง ระยะทางกว่า 3 กม. สร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ซึ่งถึงแม้จะพิการขาขาด แต่พระสังกาศ สุภาศักดิ์ ก็ปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กวาดลานกุฏิ ใช้ชีวิตอย่างปกติทั่วไป ซึ่งพระสังกาศ สุภาศักดิ์ เคยตกเป็นข่าวใหญ่โต เป็นที่สนใจของประชาชนทั่วประเทศ เมื่อประมาณเดือน พ.ค. 2559 ที่ว่า ท่านเดินเหยียบเศษก้อนหินระหว่างออกบิณฑบาต บนถนนรักษ์จันทน์ ในเขตเทศบาลนครตรัง ซึ่งผู้รับเหมางานกำลังปรับปรุงผิวจราจร จนเท้ามีอาการระบม และไปพบแพทย์พบว่า ก้อนหินฝังลงไปในนิ้วเท้า ประกอบกับเป็นโรคเบาหวาน ทำให้แพทย์ต้องตัดนิ้วเท้า 2 นิ้ว คือ นิ้วก้อย และนิ้วนางขาข้างซ้าย พระสังกาศ สุภาศักดิ์ กล่าวว่า เคยเป็นข่าวใหญ่โต ตัดนิ้วเท้า 2 นิ้ว นอน รพ. อยู่ 51 วัน กลับมาวัดมา ช่วยงานวัด ทำอิฐบล็อกแล้วเกิดพลัดตกลงไปในหลุมเสา ประมาณ 3 เดือน เกิดการอักเสบข้างแผลเดิมขึ้นมา รีบไปหาหมอ ครั้งแรกผ่าแผลไม่มาก ประมาณ 2 สัปดาห์ หมอพบว่าอักเสบอีก รักษาเกือบเดือนก็ไม่ดีขึ้น หมอที่รับผิดชอบติดภารกิจ และมีหมอใหม่มาดูแลรักษาตั้งแต่ 26 พ.ย. 59 ก็ปวดมาก ต้องขึ้นไป รพ.ตรัง วางยาสลบ ล้างแผลสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จึงขอหมอตัดขา ตอนแรกหมอไม่ยอม จะปรึกษาแพทย์พลาสติกให้ เพื่อตัดเนื้อเอาไปปะแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะกลับมาเดินได้ตามปกติหรือไม่ จึงขอร้องให้หมอตัดขาอีก สุดท้ายหมอก็ยอมตัดขาให้ เข้ารับการผ่าตัดและรักษาตัวตั้งแต่ 24 ธ.ค. 2559 นานเกือบ 2 เดือน ออกจาก รพ.ตรัง เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2560 ปัจจุบันกลับมาอยู่ที่วัด พระครูเมธีวรวัฒน์ ท่านเจ้าอาวาสกรุณาบอกบุญญาติโยมรับบริจาคเงินซื้อขาเทียมให้ เป็นวัสดุอย่างดี ประมาณ 3 หมื่นบาท รอไปวัดขนาดขาเดือนหน้า ระหว่างนี้ก็มี คุณวิชญ์ ลีละวิวัฒน์ เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรข้างวัดและเพื่อนๆ เอารถเข็นไฟฟ้ามาถวายให้ ราคา 27,000 บาท อาตมาจะให้เงินก็ไม่เอา คุณโยมวิชญ์ ลีละวิวัฒน์ ยังได้เทคอนกรีตทำทางเดินเพื่อสะดวกในการใช้รถเข็นไฟฟ้าภายในวัด ซึ่งมีรถเข็นไฟฟ้าก็ทำกิจได้หลายอย่าง ถึงจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ได้ทำกิจของสงฆ์ การออกบิณฑบาต ถือเป็น 1 ใน 10 กิจของสงฆ์ ระยะทางที่บิณฑบาตประมาณ 3 กิโลเมตร ไปตามถนนรักษ์จันทร์ สามแยกรักษ์จันทร์ เข้าซอยจำปี ในเขตเทศบาลนครตรัง อาตมาก็จะชิดซ้ายถนนไปอย่างช้าๆ ออกบิณฑบาตตั้งแต่ ตี 5.50 น. ของทุกวัน ใช้เวลาทั้งหมดประมาณชั่วโมงเศษ ก็กลับวัดมาฉันท์เช้าและทำวัตรเช้า ตอนแรกก็กังวลว่าการนั่งรถเข็นไฟฟ้าจะผิดวินัยสงฆ์หรือไม่ แต่ก็สงสารญาติโยมรอตักบาตร เพราะไม่ค่อยมีพระเดินบาตรในชุมชนที่เดินผ่าน บางครั้งต้องใช้รถเข็นไฟฟ้าขึ้นเนิน และก็มีหลายคนทักท้วงว่าจะอันตราย แต่อาตมาก็ไม่ลำบาก ได้ติดไฟฉายส่องสว่างด้านหน้าข้างราวจับรถเข็นไฟฟ้า ข้างหลังรถก็มีไฟกะพริบที่ทำขึ้นเองเพื่อความปลอดภัย หากต้องออกไปบิณฑบาตเช้ามืด ตอนออกไปบิณฑบาตก็ไปรูปเดียว บาตรวางบนตัก รัดเข็มขัด มีย่าม 2 ใบ ถ้ามีของมากก็จะฝากญาติโยมที่รู้จักไว้ แล้วก็จะเอาเข้ามาให้ที่วัด พระสังกาศ สุภาศักดิ์ กล่าวอีกว่า สังขารแบบนี้ เราต้องปลง ใจสบายมากอยู่แล้ว ความสุข ความทุกข์อยู่ที่ใจ ทำตัวให้สุขก็สุข ปลงว่าสังขารไม่เที่ยง เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เมื่อเราดูแลอย่างดีที่สุดแล้ว มันไม่อยู่กับเราก็ปล่อยไป ส่วนเทศบาลนครตรังก็ไม่เคยถือสาอะไรแล้ว รองนายกเทศมนตรีนครตรังและเจ้าหน้าที่ประมาณ 10 คน เคยเข้าไปเยี่ยมตอนตัดนิ้ว 2 นิ้ว เอานมไปให้ 3 แพ็ค แล้วก็ไม่เคยมาเยี่ยมอีกเลย ผู้รับเหมาทำถนนก็เคยมาเยี่ยมกับวิศวกรของ รพ.ตรัง อาตมาพูดให้ฟังว่า ตอนอยู่ กทม. เคยเห็นการทำถนนแบบนี้ ทำถนน เขาบดอัดอย่างดีไม่มีสิ่งแหลมคม ซึ่งตอนนั้นชาวบ้านบ่นกันมาก ที่ถูกตัดนิ้ว ผู้รับเหมาก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไร ถือว่าเป็นวิบากกรรมของอาตมาเอง ไม่เคยคิดร้องเรียนเทศบาลนครตรัง แม้จะมีคนเคยพูดให้ฟ้องร้อง นางชุติมา อายุ 52 ปี ซึ่งออกมาใส่บาตรกับพระสังกาศ สุภาศักดิ์ เป็นประจำทุกเช้า กล่าวว่า ใส่บาตรกับหลวงตามาตั้งแต่ท่านยังปกติ จนถูกตัดนิ้วและถูกตัดขา เคยไปเยี่ยมท่านที่กุฏิ แม้จะถูกตัดขาแล้ว แต่ใจท่านสู้มาก ยังออกบิณฑบาตอยู่เรื่อย ไม่ท้อแท้ หน้าตาก็ยิ้มสู้ เป็นแบบอย่างให้คนพิการคนทั่วไปลุกขึ้นมาสู้ ยังมีหนทาง ชาวบ้านแถวนี้เลื่อมใสท่าน เพราะท่านพูดจาดี อัธยาศัยดี ความคิดดี ไม่มีอคติ ไม่ทุกข์ใจ ขอบคุณ... http://news.sanook.com/2203998/
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)