เรื่องเล่าเมาแล้วขับ ตอน 3: หมวกกันน็อกไม่ช่วย! เมาซิ่ง ดับฝันงาน เงิน คนรัก
รายงานพิเศษ เรื่องเล่าเมาแล้วขับได้เดินทางมาถึงตอนที่ 3 แล้ว ซึ่งในตอนนี้ ยังคงเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์เตือนใจแก่เหล่านักซิ่งนักดริงก์ทั้งหลายว่า เมาแล้วขับเป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสังคมและตัวคุณเองอย่างยิ่ง ดังนั้น อย่ามั่นอกมั่นใจนักว่า คุณไหว คุณขับได้ คุณปลอดภัยแน่ เพราะท้ายที่สุด ตัวคุณเองอาจกลายเป็นฆาตกร หรือคนพิการไปชั่วชีวิต...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ร่วมพูดคุยกับ นายประสม สุกแสวง หรือ มด ชายวัย 41 ปี ที่ชีวิตพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะด้วยพิษภัยแห่งเมาแล้วขับ!
เมามั่นซิ่ง!โชคร้ายพิการตลอดชีวิต เมื่อย้อนไป 20 ปีที่ผ่านมา ในวัยที่ ประสม ยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เขาเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกล เพิ่งเรียนจบชั้น ปวช. (ประกาศนียบัตรวิชาชีพ) มาหมาดๆ และกำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานครั้งแรกในชีวิตในอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งเป็นงานข้าราชการที่เขาใฝ่ฝันอยากจะทำให้ได้มาตั้งแต่เยาว์วัย และด้วยความดีใจ เขาจึงได้ชักชวนเพื่อนฝูงที่สนิทสนมกันเดินทางไปร่วมฉลอง ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งย่านปิ่นเกล้า ซึ่งเขาเลือกที่จะขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไป โดยที่เขาไม่รู้ว่าวินาทีแห่งความเป็นความตายกำลังเข้ามาถึงในไม่ช้านี้
ประสมและเพื่อนๆ ดื่มอย่างเมามายตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งสางจึงเดินทางกลับ ประสงค์ขี่รถกลับบ้านในเส้นทางที่คุ้นเคย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เขาบิดคันเร่งด้วยความเร็วสูงเพราะฤทธิ์น้ำเมา โดยไม่ลืมที่จะสวมหมวกกันน็อกป้องกันอุบัติเหตุ แต่โชคไม่เข้าข้าง จู่ๆ รถของประสมก็ลื่นสไลด์กับคราบน้ำหรือน้ำมันอย่างไรไม่ทราบได้ รถลื่นไถลไม่สามารถทรงตัวได้ เขาเบรกอย่างแรกเพื่อหยุดรถ ร่างของเขากลับลอยกระเด็นไปไกลด้วยแรงเบรกกะทันหัน จนกระแทกเข้ากับท้ายรถกระบะ โดยส่วนของร่างกายที่กระแทก คือ บริเวณช่วงคอเพียงเท่านั้น ทั้งๆ ที่เขาใส่หมวกกันน็อกเต็มใบมาด้วยซ้ำ
ประสมหมดสติ และไปฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง โดยมีชาวบ้านผู้หวังดีในบริเวณนั้นเป็นผู้นำประสมส่งโรงพยาบาล เขาตื่นขึ้นมาพบว่า ร่างกายของตัวเองมีสายยางและเชือกพันระโยงระยางเต็มไปทั่วทั้งเตียง แต่ก็ยังจะพอมองเห็นได้ว่า มีเพียงบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่ยักจะเจ็บปวด แต่มิช้านานที่เขาตื่นลืมตาขึ้นมา ก็มีแพทย์เดินเข้ามาตรวจอาการของเขาอย่างงุ่นง่าน โดยไม่ปริปากพูดใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเขาก็ได้แต่นิ่งมองแพทย์ผู้นี้เพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะเปล่งเสียงใดๆ ออกมา
สุดท้ายความเงียบก็ถูกทำลายขึ้น ด้วยเสียงของแพทย์ผู้ดูแลอาการของเขาว่า “กระดูกต้นคอของคุณแตกหัก จึงไปกดทับไขสันหลัง คุณจะเป็นอัมพาตนิ้วมือ และขาไปตลอดชีวิต ไม่มีทางจะกลับมาเดินได้แล้ว และคุณต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 2 ปี” ข่าวร้ายดั่งฟ้าฟาดลงกลางใจให้ชีวิตของประสมต้องเจ็บปวดร้าวลึก
ยามมืดมนคนสุดท้ายที่เคียงข้าคือ...? “ด้วยความที่การจ้างคนดูแลนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมากๆ เราจึงไม่สามารถจ้างคนดูแลได้ โดยมีคุณแม่ของเราเป็นคนรับหน้าที่ดูแลเราทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นพลิกตัว อาบน้ำ หรือถ่ายท้อง ท่านไม่เคยทอดทิ้งเราเลยก็เพราะกำลังใจจากท่าน ที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น” ประสม พูดถึงชีวิตของตนและคุณแม่อันเป็นที่รัก
ในช่วง 2 ปีแรกหลังเกิดอุบัติเหตุ ประสมไม่ได้ลุกขึ้นมาจากที่นอนเลย เพราะร่างกายไร้แรงขยับเขยื้อน ไม่สามารถลุกนั่งได้ ครั้นแม่จะจับให้ลุกขึ้นมานั่ง ก็วิงเวียนศีรษะ และอาเจียนทุกครั้งไป สุดท้ายเขาจึงจำเป็นต้องนอนซมอยู่ระยะเวลาหนึ่ง โดยขยับแข้งขยับขาไม่ได้นานราว 3 ปี
“ตอนที่คุณพ่อ คุณแม่รู้ว่า เราจะต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต ท่านเสียใจมาก แต่จะไปทำอะไรได้ เพราะเราทำตัวเราเอง เราประมาทเอง ไม่มีใครมากระทำ ก็ต้องยอมรับสภาพกันไป ถ้าถามว่า เข็ดไหม ก็ตอบได้ว่าไม่เข็ด บางทีก็ยังดื่มอยู่ แต่ไม่เยอะ ซึ่งเราคิดว่า เราเคราะห์ร้ายที่คอไปกระแทก ถ้าหันหลังกระแทก คงไม่พิการแบบนี้ แต่ถ้าจะให้ดื่มแล้วขับ สาบานว่าไม่ทำแน่นอน” มด ประสมยืนยันหนักแน่น
ส่วนเพื่อนฝูงในกลุ่มเดียวกันก็ล้มหายตายจากไปเยอะ เพราะเกิดอุบัติทางรถมอเตอร์ไซค์เช่นกัน โดยมาจากสาเหตุเดียวกันก็คือ เมาแล้วขับ โดยตอนนี้เหลือเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่วัยรุ่นเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งคนที่เหลือรอดคนเดียวนั้น เป็นคนที่ไม่ดื่มสุรา แต่ด้วยความที่ประสม ต้องกลายเป็นผู้พิการ เขาจึงไม่มีเพื่อนแท้แม้แต่คนเดียว และไร้คนรักเคียงคู่กายมาโดยตลอด
ล้มต้องลุกได้!พิการแต่ทำทุกอย่างได้ดั่งคนปกติ กว่าร่างกายของประสมจะลุกขึ้นมานั่งได้เหมือนปกติ ใช้เวลาปีเศษๆ ที่จะต้องอดทน ฝืนร่างกายที่จะต้องเวียนหัวหน้ามืด พร้อมกับฝึกให้ร่างกายเกิดความสมดุล ซึ่งเป็นเวลาที่ยากลำบากสำหรับชายผู้นี้อย่างมาก แต่สุดท้ายเขาก็สู้ไม่ถอย จนในที่สุดเขาก็สามารถนั่ง และขับรถไปไหนมาไหนได้โดยสะดวก อีกทั้งยังมีใบขับขี่สำหรับคนพิการ แต่กว่าจะสอบผ่านมาได้ เขาต้องเข้าสอบถึง 6 ครั้ง กว่าจะได้ใบขับขี่มาครอบครอง
“ถึงแม้ในวันข้างหน้าเราอาจจะมีเงินเป็นร้อยล้าน ก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้ว สิ่งที่ทำได้วันนี้ จะมีก็แต่ร่างกายที่เรามีอยู่ตอนนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง คนรอบข้างและสังคมให้มากที่สุด อย่ามองว่าคนพิการจะต้องเป็นภาระ แต่คนพิการก็ถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาๆ ที่สามารถพัฒนาตัวเอง สามารถหารายได้ มีเงินมีทองใช้ไม่แพ้คนขาแข้งดีๆ” ประสม สุกแสวง
ขณะที่ ปัจจุบัน มด ประสม มีรายได้จากการเป็นนักกีฬาวีลแชร์รักบี้ทีมชาติ รับบรรยาย รณรงค์เกี่ยวกับเมาแล้วขับ ออกนอกพื้นที่ตั้งด่านกับตำรวจ และทำบัญชี-เอกสารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงมีรายได้มาดูแลครอบครัวและคุณแม่ได้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
“เมาแล้วขับ ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดกับใครเลย มันมีแต่สูญเสีย สูญเสียที่ว่านี้อาจเกิดขึ้นกับคุณ หรือไปเกิดขึ้นกับคนที่คุณรัก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถ้าวันหนึ่งคนเมายังไม่ได้ลิ้มลองรสชาติของการสูญเสีย เขาจะไม่มีวันรู้ว่า คำว่าเจ็บ มันมีอนุภาครุนแรงบั่นทอนร่างกายและจิตใจได้มากมายถึงขนาดไหน และผมผ่านมันมาแล้ว” อดีตนักดื่มเล่าเรื่องราวของตัวเองเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ.
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/498601 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
นายประสม สุกแสวง หรือ มด ชายวัย 41 ปี ผู้พิการนั่งรถเข็นจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ รายงานพิเศษ เรื่องเล่าเมาแล้วขับได้เดินทางมาถึงตอนที่ 3 แล้ว ซึ่งในตอนนี้ ยังคงเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์เตือนใจแก่เหล่านักซิ่งนักดริงก์ทั้งหลายว่า เมาแล้วขับเป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสังคมและตัวคุณเองอย่างยิ่ง ดังนั้น อย่ามั่นอกมั่นใจนักว่า คุณไหว คุณขับได้ คุณปลอดภัยแน่ เพราะท้ายที่สุด ตัวคุณเองอาจกลายเป็นฆาตกร หรือคนพิการไปชั่วชีวิต... ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ร่วมพูดคุยกับ นายประสม สุกแสวง หรือ มด ชายวัย 41 ปี ที่ชีวิตพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะด้วยพิษภัยแห่งเมาแล้วขับ! นายประสม สุกแสวง เมามั่นซิ่ง!โชคร้ายพิการตลอดชีวิต เมื่อย้อนไป 20 ปีที่ผ่านมา ในวัยที่ ประสม ยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เขาเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกล เพิ่งเรียนจบชั้น ปวช. (ประกาศนียบัตรวิชาชีพ) มาหมาดๆ และกำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานครั้งแรกในชีวิตในอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งเป็นงานข้าราชการที่เขาใฝ่ฝันอยากจะทำให้ได้มาตั้งแต่เยาว์วัย และด้วยความดีใจ เขาจึงได้ชักชวนเพื่อนฝูงที่สนิทสนมกันเดินทางไปร่วมฉลอง ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งย่านปิ่นเกล้า ซึ่งเขาเลือกที่จะขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไป โดยที่เขาไม่รู้ว่าวินาทีแห่งความเป็นความตายกำลังเข้ามาถึงในไม่ช้านี้ ประสมและเพื่อนๆ ดื่มอย่างเมามายตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งสางจึงเดินทางกลับ ประสงค์ขี่รถกลับบ้านในเส้นทางที่คุ้นเคย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เขาบิดคันเร่งด้วยความเร็วสูงเพราะฤทธิ์น้ำเมา โดยไม่ลืมที่จะสวมหมวกกันน็อกป้องกันอุบัติเหตุ แต่โชคไม่เข้าข้าง จู่ๆ รถของประสมก็ลื่นสไลด์กับคราบน้ำหรือน้ำมันอย่างไรไม่ทราบได้ รถลื่นไถลไม่สามารถทรงตัวได้ เขาเบรกอย่างแรกเพื่อหยุดรถ ร่างของเขากลับลอยกระเด็นไปไกลด้วยแรงเบรกกะทันหัน จนกระแทกเข้ากับท้ายรถกระบะ โดยส่วนของร่างกายที่กระแทก คือ บริเวณช่วงคอเพียงเท่านั้น ทั้งๆ ที่เขาใส่หมวกกันน็อกเต็มใบมาด้วยซ้ำ ประสมหมดสติ และไปฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง โดยมีชาวบ้านผู้หวังดีในบริเวณนั้นเป็นผู้นำประสมส่งโรงพยาบาล เขาตื่นขึ้นมาพบว่า ร่างกายของตัวเองมีสายยางและเชือกพันระโยงระยางเต็มไปทั่วทั้งเตียง แต่ก็ยังจะพอมองเห็นได้ว่า มีเพียงบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่ยักจะเจ็บปวด แต่มิช้านานที่เขาตื่นลืมตาขึ้นมา ก็มีแพทย์เดินเข้ามาตรวจอาการของเขาอย่างงุ่นง่าน โดยไม่ปริปากพูดใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเขาก็ได้แต่นิ่งมองแพทย์ผู้นี้เพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะเปล่งเสียงใดๆ ออกมา สุดท้ายความเงียบก็ถูกทำลายขึ้น ด้วยเสียงของแพทย์ผู้ดูแลอาการของเขาว่า “กระดูกต้นคอของคุณแตกหัก จึงไปกดทับไขสันหลัง คุณจะเป็นอัมพาตนิ้วมือ และขาไปตลอดชีวิต ไม่มีทางจะกลับมาเดินได้แล้ว และคุณต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 2 ปี” ข่าวร้ายดั่งฟ้าฟาดลงกลางใจให้ชีวิตของประสมต้องเจ็บปวดร้าวลึก นายประสม สุกแสวง ผู้พิการนั่งรถเข็น เป็นนักกีฬาวีลแชร์รักบี้ทีมชาติ ยามมืดมนคนสุดท้ายที่เคียงข้าคือ...? “ด้วยความที่การจ้างคนดูแลนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมากๆ เราจึงไม่สามารถจ้างคนดูแลได้ โดยมีคุณแม่ของเราเป็นคนรับหน้าที่ดูแลเราทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นพลิกตัว อาบน้ำ หรือถ่ายท้อง ท่านไม่เคยทอดทิ้งเราเลยก็เพราะกำลังใจจากท่าน ที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น” ประสม พูดถึงชีวิตของตนและคุณแม่อันเป็นที่รัก ในช่วง 2 ปีแรกหลังเกิดอุบัติเหตุ ประสมไม่ได้ลุกขึ้นมาจากที่นอนเลย เพราะร่างกายไร้แรงขยับเขยื้อน ไม่สามารถลุกนั่งได้ ครั้นแม่จะจับให้ลุกขึ้นมานั่ง ก็วิงเวียนศีรษะ และอาเจียนทุกครั้งไป สุดท้ายเขาจึงจำเป็นต้องนอนซมอยู่ระยะเวลาหนึ่ง โดยขยับแข้งขยับขาไม่ได้นานราว 3 ปี “ตอนที่คุณพ่อ คุณแม่รู้ว่า เราจะต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต ท่านเสียใจมาก แต่จะไปทำอะไรได้ เพราะเราทำตัวเราเอง เราประมาทเอง ไม่มีใครมากระทำ ก็ต้องยอมรับสภาพกันไป ถ้าถามว่า เข็ดไหม ก็ตอบได้ว่าไม่เข็ด บางทีก็ยังดื่มอยู่ แต่ไม่เยอะ ซึ่งเราคิดว่า เราเคราะห์ร้ายที่คอไปกระแทก ถ้าหันหลังกระแทก คงไม่พิการแบบนี้ แต่ถ้าจะให้ดื่มแล้วขับ สาบานว่าไม่ทำแน่นอน” มด ประสมยืนยันหนักแน่น ส่วนเพื่อนฝูงในกลุ่มเดียวกันก็ล้มหายตายจากไปเยอะ เพราะเกิดอุบัติทางรถมอเตอร์ไซค์เช่นกัน โดยมาจากสาเหตุเดียวกันก็คือ เมาแล้วขับ โดยตอนนี้เหลือเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่วัยรุ่นเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งคนที่เหลือรอดคนเดียวนั้น เป็นคนที่ไม่ดื่มสุรา แต่ด้วยความที่ประสม ต้องกลายเป็นผู้พิการ เขาจึงไม่มีเพื่อนแท้แม้แต่คนเดียว และไร้คนรักเคียงคู่กายมาโดยตลอด ล้มต้องลุกได้!พิการแต่ทำทุกอย่างได้ดั่งคนปกติ กว่าร่างกายของประสมจะลุกขึ้นมานั่งได้เหมือนปกติ ใช้เวลาปีเศษๆ ที่จะต้องอดทน ฝืนร่างกายที่จะต้องเวียนหัวหน้ามืด พร้อมกับฝึกให้ร่างกายเกิดความสมดุล ซึ่งเป็นเวลาที่ยากลำบากสำหรับชายผู้นี้อย่างมาก แต่สุดท้ายเขาก็สู้ไม่ถอย จนในที่สุดเขาก็สามารถนั่ง และขับรถไปไหนมาไหนได้โดยสะดวก อีกทั้งยังมีใบขับขี่สำหรับคนพิการ แต่กว่าจะสอบผ่านมาได้ เขาต้องเข้าสอบถึง 6 ครั้ง กว่าจะได้ใบขับขี่มาครอบครอง “ถึงแม้ในวันข้างหน้าเราอาจจะมีเงินเป็นร้อยล้าน ก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้ว สิ่งที่ทำได้วันนี้ จะมีก็แต่ร่างกายที่เรามีอยู่ตอนนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง คนรอบข้างและสังคมให้มากที่สุด อย่ามองว่าคนพิการจะต้องเป็นภาระ แต่คนพิการก็ถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาๆ ที่สามารถพัฒนาตัวเอง สามารถหารายได้ มีเงินมีทองใช้ไม่แพ้คนขาแข้งดีๆ” ประสม สุกแสวง ทีมนักกีฬาวีลแชร์รักบี้ทีมชาติ ขณะที่ ปัจจุบัน มด ประสม มีรายได้จากการเป็นนักกีฬาวีลแชร์รักบี้ทีมชาติ รับบรรยาย รณรงค์เกี่ยวกับเมาแล้วขับ ออกนอกพื้นที่ตั้งด่านกับตำรวจ และทำบัญชี-เอกสารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงมีรายได้มาดูแลครอบครัวและคุณแม่ได้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา “เมาแล้วขับ ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดกับใครเลย มันมีแต่สูญเสีย สูญเสียที่ว่านี้อาจเกิดขึ้นกับคุณ หรือไปเกิดขึ้นกับคนที่คุณรัก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถ้าวันหนึ่งคนเมายังไม่ได้ลิ้มลองรสชาติของการสูญเสีย เขาจะไม่มีวันรู้ว่า คำว่าเจ็บ มันมีอนุภาครุนแรงบั่นทอนร่างกายและจิตใจได้มากมายถึงขนาดไหน และผมผ่านมันมาแล้ว” อดีตนักดื่มเล่าเรื่องราวของตัวเองเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ. ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/498601
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)