เรื่องเล่าเมาแล้วขับ ตอน 1: เพื่อนตีนผี ซดเหล้า คร่าอนาคตมิตรบริสุทธิ์
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวอุบัติเหตุน่าสลดหดหู่ใจอยู่หลายต่อหลายข่าว มิหนำซ้ำเหตุการณ์ยังซ้ำรอยในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จนเป็นที่พูดถึงในวงกว้างของสังคม และนั่นก็คือเหตุการณ์ เมาแล้วขับ!
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อทั้งหลาย บ้างก็จากคนรักไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนคนที่รอดก็มีชีวิตดั่งตายทั้งเป็น ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เดินทางไปพูดคุยกับเหยื่อเมาแล้วขับ ฟังเรื่องราวสุดรันทด ชวนน้ำตารินไปกับ น.ส.พิมพ์ปวีณ์ สมยานุสรณ์ หรือ หมึก หญิงวัย 45 ปี ที่ประสบเคราะห์ร้ายครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตด้วยน้ำมือของนักเมาแล้วขับ
จุดตั้งต้นเคราะห์ร้าย : สุดยอดนักซิ่ง มือหนึ่งนักดริงก์ พาชีวิตคนบริสุทธิ์ลงเหว ค่ำคืนแห่งความสุขของหมึก หญิงสาวอนาคตไกลที่กำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายของบริษัทแห่งหนึ่งย่านบางนาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอและเพื่อนฝูงในที่ทำงานเดียวกันต่างเดินทางไปร่วมฉลองวันแห่งความสำเร็จอีกหนึ่งขั้น ณ ร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นบางนาตราด เวลานั้นดูจะเป็นเวลาที่มีความสุขของเธออย่างยิ่ง เพราะเธอถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาเพื่อนร่วมงานทั้งหัวหน้า และลูกน้องที่เข้ามายินดีกับเธอตลอดทั้งคืน แต่มิช้านานงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทุกคนต้องแยกย้ายกลับที่พัก ส่วนหมึกไม่มีรถยนต์ส่วนตัวเหมือนกับเพื่อนๆบางคน แต่ก็ยังโชคดีที่มีชายรุ่นพี่ที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน รับอาสาที่จะพาเธอไปส่งที่บ้าน พร้อมกับจะแวะไปส่งหัวหน้าสาวของหมึกอีกคนหนึ่งด้วย ดังนั้น บนรถจึงมีผู้ออกเดินทางไปด้วยกันทั้งหมด 3 คน
“รถคันที่เรานั่งไปเป็นรถเก๋ง เรานั่งเบาะด้านหลังฝั่งซ้ายมือ พี่ผู้ชายเป็นคนขับ พี่ผู้หญิงหัวหน้านั่งข้างคนขับ ในระหว่างทาง บนถนนบางนาตราด คืนนั้นถนนดูโล่งจริงๆ โล่งจนเราสู้สึกแปลกๆ และด้วยความที่พี่ผู้ชายคนขับ เมาได้ที่อยู่แล้ว เลยทำให้ขับเร็วกว่าปกติมาก เราและหัวหน้าเตือนให้ลดความเร็ว แต่แกก็ไม่ฟัง ยิ่งเหยียบคันเร่งหนักเข้าไปอีก วันนั้นเรารู้สึกตงิดๆ เลยว่า คืนนี้เราตายแน่ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาด พี่คนขับต้องยูเทิร์นส่งเราเข้าหอพัก แต่กลับยูเทิร์นรถไม่พ้น ล้อรถด้านหน้าไปชนกับเกือกม้า พอชนปุ๊บ รถหมุนเสียการทรงตัวมากกว่า 8 ครั้ง วินาทีนั้น เราพยายามเอาตัวรอดสุดชีวิตโดยการยึดเบาะนั่งด้านหน้าเอาไว้ให้แน่นที่สุด และต้านแรงเหวี่ยงของรถเอาไว้ ตอนนั้นคิดว่ารอดแน่ๆ เพราะทุกส่วนของร่างกายยังรู้สึกตัวดีอยู่ และแรงเหวี่ยงของรถกำลังจะหยุดลง แต่จู่ๆ มือของเราก็หมดแรง เลยทำให้ตัวเหวี่ยงไปตามแรงรถ และด้านหลังของคอไปฟาดอย่างแรงกับขอบประตูรถด้านขวาหลังคนขับ โดยเราบาดเจ็บแค่คอที่ไปกระแดกอย่างแรงเท่านั้น ไม่มีร่องรอยบาดแผลอื่นใด” หมึก พิมพ์ปวีณ์ จำภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดี ถึงแม้จะผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี
ณ เวลานั้น หลังจากที่รถหยุดหมุน เธอลงไปนอนอยู่ตรงที่วางเท้าด้านหลังคนขับ โดยไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เลย เสียงเครื่องยนต์และเสียงกรีดร้องของหมึกและพี่ผู้หญิงหัวหน้าเริ่มเงียบลง จนได้ยินเสียงกรนเล็ดลอดออกมาจากลมหายใจของคนขับ! ชายใจดีที่รับหน้าที่อาสาไปส่งเธอ เขาหลับสนิทและไม่ยินดียินร้ายกับอุบัติเหตุครั้งสำคัญที่ผ่านไปเมื่อสักครู่ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีป่อเต็กตึ๊งมารับทั้ง 3 คนไปส่งโรงพยาบาล
จุดหักเหของชีวิต : “คุณอาจจะพิการไปตลอดชีวิต” วินาทีแห่งข่าวร้าย! “พี่ทั้งสองคนที่เดินทางไปกับเราโชคดีมากที่คาดเข็มขัด เลยไม่เป็นอะไรเลย แค่ฟกช้ำเล็กๆ น้อยๆ แต่เราเป็นคนเดียวที่ไม่คาดเข็มขัด เพราะด้วยความที่ตอนนั้นนั่งด้านหลัง และหยิบเข็มขัดมาคาดไม่ทัน เราจึงเป็นคนเดียวที่ได้รับข่าวร้ายจากหมอ (คุณหมึกเงียบไปสักพัก) หมอบอกกับเราว่า กระดูกต้นคอกดทับเส้นประสาท ร่างกายของเราอาจทำงานได้ไม่เหมือนเดิม และกำลังจะเข้าสู่ชีวิตของคนพิการ เพราะร่างกายของเราตั้งแต่คอลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย เราไม่นึกไม่ฝันก่อนว่า อุบัติเหตุครั้งนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต แม้เวลาที่ยุงกัดหน้า เราต้องทนคันอยู่อย่างนั้น เพราะไม่สามารถยกมือขึ้นมาเกาได้ ทางออกสุดท้าย คือ สวดมนต์ ภาวนาให้หายคัน” หญิงสาวผู้โชคร้ายพูดถึงเรื่องราวของเธอด้วยน้ำเสียงสุดเศร้า
หมึก พิมพ์ปวีณ์ ต้องจ้างผู้ดูแลตลอดเวลา เนื่องจากคุณแม่ของเธอแก่ชรามากแล้ว และพี่น้องคนอื่นๆ ในครอบครัวมีความจำเป็นที่จะต้องทำงาน จึงไม่มีใครที่จะคอยดูแลเธอได้ตลอดเวลา บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาที่ชีวิตของคนพิการคนหนึ่งจำต้องเผชิญ ยังถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างคนดูแล ที่ตกเดือนละ 15,000 บาท ค่าใช้จ่ายเวลาถ่ายท้องครั้งละ 40 บาท เพราะระบบขับถ่ายทุกอย่างเสียหมด จึงต้องขับถ่ายบนเตียง และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย มิหนำซ้ำ ชีวิตของเธอก็ไม่ได้โลดแล่นเหมือนเช่นคนปกติ เธอต้องนอนอยู่แต่บ้าน ไม่สามารถออกไปกินข้าวดูหนังได้ ทำกิจกรรมอื่นใดได้
“เวลาจะออกไปไหนแต่ละครั้ง ก็ดูจะเป็นภาระให้แก่คนรอบข้าง ต้องมีคนอุ้มอย่างน้อย 3 คน ยกไปยกมา อุ้มเราเหมือนศพ และสายตาของคนอื่นๆ ไม่ว่าจะคนไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่งคนรู้จักที่เคยรัก เคยสนิทสนมกันต่างก็มองเราด้วยสายตาแปลกๆ ซึ่งตอนแรกๆ ที่ไปไหนมาไหน เราอายมากๆ ทุกคนมองเราเหมือนตัวประหลาด เพียงแค่เรานั่งรถเข็น ซ้ำร้ายแท็กซี่ยังไม่ค่อยรับเราอีก หลายครั้งที่เรียกแล้ว เราขึ้นไปนั่งบนรถ เก็บรถเข็นแล้ว แต่โชเฟอร์เขาก็ไล่เราลง เหมือนหมูเหมือนหมา มันทำให้เรารู้สึกรันทดจริงๆ หรือในบางครั้งที่ครอบครัวจะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน เราอยากไปใจแทบขาด แต่สุดท้ายก็ต้องกลั้นใจบอกปัดไป เพียงเพราะไม่ต้องการที่จะเป็นภาระให้ใครต่อใคร เราอยากให้เขาไปอย่างมีความสุขที่สุด” เหยื่อเมาแล้วขับ ย้อนไปถึงช่วงชีวิตสุดขมขื่น
ส่วนคนขับมาเยี่ยมเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และแต่ละครั้งก็พูดจาทำร้ายจิตใจเธอเหลือเกิน เหยื่อเมาแล้วขับเล่าด้วยอารมณ์ขุ่นหมองว่า “เวลาพี่ผู้ชายคนขับเขามาเยี่ยม เขาชอบพูดจาไม่ดี ไม่ให้เกียรติและยังไม่รู้สึกผิดด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราไม่ชอบมากๆ คือ เขาพูดว่า เวลาหมึกฉี่ ต้องเอาสายสอดเข้าไปในจิ๋*หมึกเลยหรือ ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง เรารู้สึกอายและไม่ชอบใจมากๆ และอีกหนึ่งประโยคที่เรารู้สึกเจ็บสุดๆ คือ เขาพูดว่า โชคดีนะที่คนทำเป็นพี่ ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงไม่มาแยแสหมึกแน่ เราก็ได้แต่เจ็บและเก็บความรู้สึกช้ำๆ เอาไว้ในใจ ไม่อยากพูดอะไรออกมา เพราะกลัวจะมีปัญหาต่อกัน และตอนนี้พี่ผู้ชายคนขับเขาก็มีหน้าที่การงานที่ดี เนื่องจากได้ย้ายไปทำงานให้แก่ศิลปินแห่งชาติชื่อดังคนหนึ่งแถวเชียงราย”
พิมพ์ปวีณ์ หญิงพิการวัย 45 ปี ตัดพ้อถึงเรื่องราวชีวิตที่เธอกลับต้องสูญเสียว่า "ชีวิตที่เคยเดินเหินได้คล่องแคล่ว เป็นคนกระตือรือร้นทำงานตลอดเวลา กำลังจะมีหน้าที่การงาน มีลูกน้องเพื่อนพ้องมากมาย มีครอบครัวลูกหลานที่แสนอบอุ่น มีเงินมีทองมั่งคั่ง แต่วันหนึ่งโชคร้ายสาดซัดเข้าหาเราอย่างไม่ปราณี วันนี้เราอาศัยรถเข็นมาใช้แทนขา เราไม่สามารถไปสถานที่ไหนๆได้โดยง่าย วันนี้สายตาลูกหลาน เพื่อนพ้องมองเราแปลกไปจากเดิม วันนี้เราต้องอาศัยเงินทองของพี่น้องดำเนินชีวิต วันนี้เราไม่มีหน้าที่การงาน หรือเป็นหัวหน้าอันสูงส่งอีกแล้ว ถ้าไม่มีค่ำคืนโชคร้ายนั้น เราคงมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มีรายได้เรือนแสนต่อเดือนไปแล้ว"
จุดเริ่มต้นแห่งชีวิตใหม่ : ทางออกเหยื่อเมาแล้วขับ อยู่ที่...? หมึก พิมพ์ปวีณ์ ถามผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า หากวันใดวันหนึ่งที่คุณต้องเป็นคนพิการ คุณคิดว่า ตัวคุณเองจะประกอบอาชีพใดๆ ได้บ้าง ทีมข่าวได้แต่นิ่งมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความเห็นใจ จากนั้นเธอก็พูดถึงเรื่องราวชีวิตของเธออย่างกล้ำกลืนต่อไปว่า “วินาทีที่เรารู้ว่าเราเป็นคนพิการ ทุกอย่างมันดำมืด ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ชีวิตจะต้องเดินอย่างไรต่อ ไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไรได้ ในใจลึกๆ ก็ได้แต่คิดว่า เราไม่ใช่คนที่เมา เราไม่ใช่คนที่ขับ เราผิดอะไรที่เราจะต้องพบเจอกับชีวิตเช่นนี้ด้วย คนเมาเขาไม่ต้องรับโทษอะไรเลย แต่ในโชคร้าย ก็ยังมีโชคดีที่เรายังมีพี่สาว ซึ่งเขาไม่มีครอบครัว จึงคอยส่งเงินช่วยเหลือให้เราทุกเดือน และยังพอมีรายได้จากการขายรถเข็นผู้ป่วย รถซูบารุ ของมือสองในเว็บไซต์ฝากขายต่างๆ”
หญิงวัย 45 ปี มองโทษของผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับของประเทศไทยว่า บทลงโทษยังไม่หนักหนา และไม่ได้ทำให้นักดื่มทั้งหลายเกรงกลัวโทษทัณฑ์ของการดื่มสุราเลย แม้ว่ากฎหมายปรามนักดื่มของไทย ออกจะดูรุนแรง แต่เธอเชื่อว่ายังแรงไม่พอ อีกทั้ง หลายต่อหลายคนที่ต้องโทษเมาแล้วขับ เขาพวกนั้นเพียงเสียค่าปรับ และออกไปบำเพ็ญประโยชน์ แต่สุดท้ายเขาก็ยังกล้าที่จะเมาแล้วขับอยู่ดี
"เมื่อคุณดื่ม จงอย่าคิดว่าถนนเส้นที่คุณขับขี่ไป จะไม่เกิดอุบัติเหตุ จงอย่าคิดว่าคุณขับไหวไปถึงบ้านได้แน่ๆ จงอย่าคิดว่าอุบัติเหตุจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่คุณรัก เพราะในความเป็นจริงแล้ว อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา อุบัติเหตุมันไม่เลือกคน และอุบัติเหตุมันไม่ได้อยู่ที่ดวง แต่มันอยู่ที่ว่า คุณประมาทอยู่หรือไม่ ? " เหยื่อเมาแล้วขับ ที่โชคร้ายโดนเพื่อนนักดื่ม คร่าอนาคต ทิ้งท้าย
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/497800 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
น.ส.พิมพ์ปวีณ์ สมยานุสรณ์ หรือ หมึก หญิงวัย 45 ปี ที่ประสบเคราะห์ร้ายครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตด้วยน้ำมือของนักเมาแล้วขับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวอุบัติเหตุน่าสลดหดหู่ใจอยู่หลายต่อหลายข่าว มิหนำซ้ำเหตุการณ์ยังซ้ำรอยในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จนเป็นที่พูดถึงในวงกว้างของสังคม และนั่นก็คือเหตุการณ์ เมาแล้วขับ! ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อทั้งหลาย บ้างก็จากคนรักไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนคนที่รอดก็มีชีวิตดั่งตายทั้งเป็น ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เดินทางไปพูดคุยกับเหยื่อเมาแล้วขับ ฟังเรื่องราวสุดรันทด ชวนน้ำตารินไปกับ น.ส.พิมพ์ปวีณ์ สมยานุสรณ์ หรือ หมึก หญิงวัย 45 ปี ที่ประสบเคราะห์ร้ายครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตด้วยน้ำมือของนักเมาแล้วขับ จุดตั้งต้นเคราะห์ร้าย : สุดยอดนักซิ่ง มือหนึ่งนักดริงก์ พาชีวิตคนบริสุทธิ์ลงเหว ค่ำคืนแห่งความสุขของหมึก หญิงสาวอนาคตไกลที่กำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายของบริษัทแห่งหนึ่งย่านบางนาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอและเพื่อนฝูงในที่ทำงานเดียวกันต่างเดินทางไปร่วมฉลองวันแห่งความสำเร็จอีกหนึ่งขั้น ณ ร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นบางนาตราด เวลานั้นดูจะเป็นเวลาที่มีความสุขของเธออย่างยิ่ง เพราะเธอถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาเพื่อนร่วมงานทั้งหัวหน้า และลูกน้องที่เข้ามายินดีกับเธอตลอดทั้งคืน แต่มิช้านานงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทุกคนต้องแยกย้ายกลับที่พัก ส่วนหมึกไม่มีรถยนต์ส่วนตัวเหมือนกับเพื่อนๆบางคน แต่ก็ยังโชคดีที่มีชายรุ่นพี่ที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน รับอาสาที่จะพาเธอไปส่งที่บ้าน พร้อมกับจะแวะไปส่งหัวหน้าสาวของหมึกอีกคนหนึ่งด้วย ดังนั้น บนรถจึงมีผู้ออกเดินทางไปด้วยกันทั้งหมด 3 คน น.ส.พิมพ์ปวีณ์ สมยานุสรณ์ “รถคันที่เรานั่งไปเป็นรถเก๋ง เรานั่งเบาะด้านหลังฝั่งซ้ายมือ พี่ผู้ชายเป็นคนขับ พี่ผู้หญิงหัวหน้านั่งข้างคนขับ ในระหว่างทาง บนถนนบางนาตราด คืนนั้นถนนดูโล่งจริงๆ โล่งจนเราสู้สึกแปลกๆ และด้วยความที่พี่ผู้ชายคนขับ เมาได้ที่อยู่แล้ว เลยทำให้ขับเร็วกว่าปกติมาก เราและหัวหน้าเตือนให้ลดความเร็ว แต่แกก็ไม่ฟัง ยิ่งเหยียบคันเร่งหนักเข้าไปอีก วันนั้นเรารู้สึกตงิดๆ เลยว่า คืนนี้เราตายแน่ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาด พี่คนขับต้องยูเทิร์นส่งเราเข้าหอพัก แต่กลับยูเทิร์นรถไม่พ้น ล้อรถด้านหน้าไปชนกับเกือกม้า พอชนปุ๊บ รถหมุนเสียการทรงตัวมากกว่า 8 ครั้ง วินาทีนั้น เราพยายามเอาตัวรอดสุดชีวิตโดยการยึดเบาะนั่งด้านหน้าเอาไว้ให้แน่นที่สุด และต้านแรงเหวี่ยงของรถเอาไว้ ตอนนั้นคิดว่ารอดแน่ๆ เพราะทุกส่วนของร่างกายยังรู้สึกตัวดีอยู่ และแรงเหวี่ยงของรถกำลังจะหยุดลง แต่จู่ๆ มือของเราก็หมดแรง เลยทำให้ตัวเหวี่ยงไปตามแรงรถ และด้านหลังของคอไปฟาดอย่างแรงกับขอบประตูรถด้านขวาหลังคนขับ โดยเราบาดเจ็บแค่คอที่ไปกระแดกอย่างแรงเท่านั้น ไม่มีร่องรอยบาดแผลอื่นใด” หมึก พิมพ์ปวีณ์ จำภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดี ถึงแม้จะผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี ณ เวลานั้น หลังจากที่รถหยุดหมุน เธอลงไปนอนอยู่ตรงที่วางเท้าด้านหลังคนขับ โดยไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เลย เสียงเครื่องยนต์และเสียงกรีดร้องของหมึกและพี่ผู้หญิงหัวหน้าเริ่มเงียบลง จนได้ยินเสียงกรนเล็ดลอดออกมาจากลมหายใจของคนขับ! ชายใจดีที่รับหน้าที่อาสาไปส่งเธอ เขาหลับสนิทและไม่ยินดียินร้ายกับอุบัติเหตุครั้งสำคัญที่ผ่านไปเมื่อสักครู่ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีป่อเต็กตึ๊งมารับทั้ง 3 คนไปส่งโรงพยาบาล จุดหักเหของชีวิต : “คุณอาจจะพิการไปตลอดชีวิต” วินาทีแห่งข่าวร้าย! “พี่ทั้งสองคนที่เดินทางไปกับเราโชคดีมากที่คาดเข็มขัด เลยไม่เป็นอะไรเลย แค่ฟกช้ำเล็กๆ น้อยๆ แต่เราเป็นคนเดียวที่ไม่คาดเข็มขัด เพราะด้วยความที่ตอนนั้นนั่งด้านหลัง และหยิบเข็มขัดมาคาดไม่ทัน เราจึงเป็นคนเดียวที่ได้รับข่าวร้ายจากหมอ (คุณหมึกเงียบไปสักพัก) หมอบอกกับเราว่า กระดูกต้นคอกดทับเส้นประสาท ร่างกายของเราอาจทำงานได้ไม่เหมือนเดิม และกำลังจะเข้าสู่ชีวิตของคนพิการ เพราะร่างกายของเราตั้งแต่คอลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย เราไม่นึกไม่ฝันก่อนว่า อุบัติเหตุครั้งนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต แม้เวลาที่ยุงกัดหน้า เราต้องทนคันอยู่อย่างนั้น เพราะไม่สามารถยกมือขึ้นมาเกาได้ ทางออกสุดท้าย คือ สวดมนต์ ภาวนาให้หายคัน” หญิงสาวผู้โชคร้ายพูดถึงเรื่องราวของเธอด้วยน้ำเสียงสุดเศร้า หมึก พิมพ์ปวีณ์ ต้องจ้างผู้ดูแลตลอดเวลา เนื่องจากคุณแม่ของเธอแก่ชรามากแล้ว และพี่น้องคนอื่นๆ ในครอบครัวมีความจำเป็นที่จะต้องทำงาน จึงไม่มีใครที่จะคอยดูแลเธอได้ตลอดเวลา บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาที่ชีวิตของคนพิการคนหนึ่งจำต้องเผชิญ ยังถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างคนดูแล ที่ตกเดือนละ 15,000 บาท ค่าใช้จ่ายเวลาถ่ายท้องครั้งละ 40 บาท เพราะระบบขับถ่ายทุกอย่างเสียหมด จึงต้องขับถ่ายบนเตียง และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย มิหนำซ้ำ ชีวิตของเธอก็ไม่ได้โลดแล่นเหมือนเช่นคนปกติ เธอต้องนอนอยู่แต่บ้าน ไม่สามารถออกไปกินข้าวดูหนังได้ ทำกิจกรรมอื่นใดได้ “เวลาจะออกไปไหนแต่ละครั้ง ก็ดูจะเป็นภาระให้แก่คนรอบข้าง ต้องมีคนอุ้มอย่างน้อย 3 คน ยกไปยกมา อุ้มเราเหมือนศพ และสายตาของคนอื่นๆ ไม่ว่าจะคนไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่งคนรู้จักที่เคยรัก เคยสนิทสนมกันต่างก็มองเราด้วยสายตาแปลกๆ ซึ่งตอนแรกๆ ที่ไปไหนมาไหน เราอายมากๆ ทุกคนมองเราเหมือนตัวประหลาด เพียงแค่เรานั่งรถเข็น ซ้ำร้ายแท็กซี่ยังไม่ค่อยรับเราอีก หลายครั้งที่เรียกแล้ว เราขึ้นไปนั่งบนรถ เก็บรถเข็นแล้ว แต่โชเฟอร์เขาก็ไล่เราลง เหมือนหมูเหมือนหมา มันทำให้เรารู้สึกรันทดจริงๆ หรือในบางครั้งที่ครอบครัวจะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน เราอยากไปใจแทบขาด แต่สุดท้ายก็ต้องกลั้นใจบอกปัดไป เพียงเพราะไม่ต้องการที่จะเป็นภาระให้ใครต่อใคร เราอยากให้เขาไปอย่างมีความสุขที่สุด” เหยื่อเมาแล้วขับ ย้อนไปถึงช่วงชีวิตสุดขมขื่น น.ส.พิมพ์ปวีณ์ สมยานุสรณ์ พิการนั่งรถเข็นเนื่องจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนคนขับมาเยี่ยมเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และแต่ละครั้งก็พูดจาทำร้ายจิตใจเธอเหลือเกิน เหยื่อเมาแล้วขับเล่าด้วยอารมณ์ขุ่นหมองว่า “เวลาพี่ผู้ชายคนขับเขามาเยี่ยม เขาชอบพูดจาไม่ดี ไม่ให้เกียรติและยังไม่รู้สึกผิดด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราไม่ชอบมากๆ คือ เขาพูดว่า เวลาหมึกฉี่ ต้องเอาสายสอดเข้าไปในจิ๋*หมึกเลยหรือ ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง เรารู้สึกอายและไม่ชอบใจมากๆ และอีกหนึ่งประโยคที่เรารู้สึกเจ็บสุดๆ คือ เขาพูดว่า โชคดีนะที่คนทำเป็นพี่ ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงไม่มาแยแสหมึกแน่ เราก็ได้แต่เจ็บและเก็บความรู้สึกช้ำๆ เอาไว้ในใจ ไม่อยากพูดอะไรออกมา เพราะกลัวจะมีปัญหาต่อกัน และตอนนี้พี่ผู้ชายคนขับเขาก็มีหน้าที่การงานที่ดี เนื่องจากได้ย้ายไปทำงานให้แก่ศิลปินแห่งชาติชื่อดังคนหนึ่งแถวเชียงราย” พิมพ์ปวีณ์ หญิงพิการวัย 45 ปี ตัดพ้อถึงเรื่องราวชีวิตที่เธอกลับต้องสูญเสียว่า "ชีวิตที่เคยเดินเหินได้คล่องแคล่ว เป็นคนกระตือรือร้นทำงานตลอดเวลา กำลังจะมีหน้าที่การงาน มีลูกน้องเพื่อนพ้องมากมาย มีครอบครัวลูกหลานที่แสนอบอุ่น มีเงินมีทองมั่งคั่ง แต่วันหนึ่งโชคร้ายสาดซัดเข้าหาเราอย่างไม่ปราณี วันนี้เราอาศัยรถเข็นมาใช้แทนขา เราไม่สามารถไปสถานที่ไหนๆได้โดยง่าย วันนี้สายตาลูกหลาน เพื่อนพ้องมองเราแปลกไปจากเดิม วันนี้เราต้องอาศัยเงินทองของพี่น้องดำเนินชีวิต วันนี้เราไม่มีหน้าที่การงาน หรือเป็นหัวหน้าอันสูงส่งอีกแล้ว ถ้าไม่มีค่ำคืนโชคร้ายนั้น เราคงมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มีรายได้เรือนแสนต่อเดือนไปแล้ว" จุดเริ่มต้นแห่งชีวิตใหม่ : ทางออกเหยื่อเมาแล้วขับ อยู่ที่...? หมึก พิมพ์ปวีณ์ ถามผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า หากวันใดวันหนึ่งที่คุณต้องเป็นคนพิการ คุณคิดว่า ตัวคุณเองจะประกอบอาชีพใดๆ ได้บ้าง ทีมข่าวได้แต่นิ่งมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความเห็นใจ จากนั้นเธอก็พูดถึงเรื่องราวชีวิตของเธออย่างกล้ำกลืนต่อไปว่า “วินาทีที่เรารู้ว่าเราเป็นคนพิการ ทุกอย่างมันดำมืด ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ชีวิตจะต้องเดินอย่างไรต่อ ไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไรได้ ในใจลึกๆ ก็ได้แต่คิดว่า เราไม่ใช่คนที่เมา เราไม่ใช่คนที่ขับ เราผิดอะไรที่เราจะต้องพบเจอกับชีวิตเช่นนี้ด้วย คนเมาเขาไม่ต้องรับโทษอะไรเลย แต่ในโชคร้าย ก็ยังมีโชคดีที่เรายังมีพี่สาว ซึ่งเขาไม่มีครอบครัว
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)