สุดสะเทือนใจ!เด็กเรียนดี-กตัญญูต่อพ่อแม่พิการ กลับถูกรถเมล์ชนขาขาด
เสียงตึ้ม!! ดังสนั่น 1 ครั้ง ร่างเด็กสาววัย 9 ขวบ กระเด็นตกรถจักรยานยนต์สามล้อเกลือกกลิ้งเข้าไปใต้ท้องรถประจำทางสาย 33 ขาขวาของเด็กสาวถูกล้อรถบดขยี้กระดูกแหลก ไร้เสียงกรี๊ดร้อง มีเพียงเสียงเรียกหา “แม่จ๋า แม่อยู่ไหน” ขณะที่ผู้เป็นแม่มีความพิการปอลิโอขาลีบเดินไม่ได้ พยายามนำร่างที่บาดเจ็บเช่นกัน กระเสือกกระสนเพื่อโผกอดลูก แต่ก็ไม่สำเร็จ ได้แต่นอนมองลูกเจ็บปวดทรมานทั้งน้ำตา และ คำภาวนา ขอให้ลูกปลอดภัย”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบริเวณห้าแยกปากเกร็ด เวลาประมาณ 19.00 น. ของวันที่ 3 มี.ค.59 โดยคุณกมลวรรณ เจริญศิริ อายุ 49 ปี ป่วยเป็นโปลิโอขาลีบทั้งสองข้างตั้งแต่วัยเด็ก เปิดใจว่า เธอได้ขับขี่จักรยานสามล้อพาลูกสาว ด.ญ.ชุติการณ์ มีภัย หรือ น้องแหวน อายุ 9 ปี นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาที่ 3 โรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ฯ นั่งซ้อนเพื่อไปขายไอศครีมเช่นปกติ แต่ขากลับระหว่างรถติดสัญญาณไฟแดงบริเวณ ห้าแยกปากเกร็ด จ.นนทบุรี เธอได้ขับอ้อมขึ้นมาอยู่ข้างหน้ารถประจำทางสาย 33 และขณะที่สัญญาณไฟเขียว เธอก็ได้ออกตัวรถไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นได้ยินเสียงชนแรงที่ท้ายรถของเธอ ทั้งสองแม่ลูกจึงกระเด็นไปคนละทิศทาง ซึ่งร่างของเธอได้รับบาดเจ็บบริเวณร่างกายซีกขวาตั้งแต่ใบหน้าจนถึงหัวเข่า
แต่…ลูกสาว กลับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากร่างของเธอกระเด็นเข้าใต้ท้องรถประจำทาง และขาขวาถูกล้อรถทับจนกระดูกแหลก “ตอนที่เกิดเหตุ มันเร็วมากและก็งงๆ เจ็บแบบชาๆไปทั้งตัว มองหาแต่ลูก ได้ยินเสียงเรียกหาแต่ป้า พอเห็นลูกถูกรถทับขา เลือดเต็มเลย ยิ่งตกใจ พยายามจะไปหาลูกให้ได้ แต่ก็ไปไม่ได้ ทั้งเจ็บทั้งพิการ หัวใจทรมานมาก ได้แต่ร้องไห้ ภาวนาขอให้ลูกไม่เป็นอะไรมาก แต่เขาเก่งมาก ใจสู้มาก เขาไม่ร้องไห้เลย เรามากกว่าที่อ่อนแอเมื่อเห็นลูกในสภาพเช่นนั้น”
สองแม่ลูกร่ำไห้เรียกหากันบนความเจ็บปวด ท่ามกลางไทยมุงเต็มท้องถนนและเหล่าพลเมืองดีที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแจ้งมูลนิธิฯนำส่งตัวลูกรักษาตัวเร่งด่วนที่ รพ.ชลประทาน ก่อนเคลื่อนย้ายไปที่ รพ.ศิริราช โดยมีผู้เป็นพ่อ คือ คุณคำมูล มีภัย อายุ 41 ปี มีความพิการแขนซ้ายขาดและเดินกะเผลกจากอุบัติเหตุรับงานก่อสร้างเมื่อ 40 ปีก่อน ขณะที่ผู้เป็นแม่กลับมารักษาบาดเเผลที่ห้องพัก ม.เอื้ออาทร นอนซมอยู่บนแคร่อยู่หลายวัน ท่ามกลางการดูแลและให้กำลังขอเหล่าเพื่อนพิการ
สำหรับอาการบาดเจ็บของน้องแหวนนั้น วันแรกอยู่ในอาการโคม่ามา แพทย์ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและดูดเสมหะอยู่ตลอด ขณะที่ขาข้างขวา แพทย์ไม่สามารถยื้อไว้ได้ จำต้องตัดขาออกไปจนถึงส่วนของน่องขา แต่แผลติดเชื้อ จนวันที่ 7 มี.ค.59 แพทย์จำต้องผ่าตัดขาข้างขวาออกส่วนที่เหลือออกไปอีกครั้ง จนขาของน้องแหวนขณะนี้ถูกหั่นสั้นถึงส่วนของสะโพก
หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครอบครัวนี้ต้องมีสมาชิกกลายเป็นคนพิการเพิ่มเข้ามา ทั้งที่ก่อนหน้านี้น้องแหวน คือ หัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน และช่วยทำมาหากิน ในการช่วยพ่อแม่พิการขายไอศครีมและลอตเตอรี่หลังเลิกเรียนอยู่เป็นประจำ พอพลบค่ำน้องแหวนยังหารายได้พิเศษด้วยรับใบเตยที่พับเป็นดอกกุหลาบ มาตระเวนขายตามศาลาวัดที่มีงานต่างๆ ซึ่งในแต่ละวันกว่าจะได้กลับถึงบ้านเวลาก็ยามวิกาลเสียแล้ว
ความกตัญญูของน้องแหวน ไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียน เพราะทุกปีการศึกษาน้องยังรักษามาตรฐานการเป็นเด็กเรียนดี ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 และยังเด่นด้านกิจกรรม ที่เป็นทั้งนักกีฬา และ ตัวแทนการแสดงนาฏศิลป์ของโรงเรียน แต่….ความหวังเพื่อพึ่งพาของพ่อแม่ก็ดับสลาย เมื่ออุบัติเหตุครั้งนี้พรากสภาพร่างกายของน้องไป แต่ไม่ได้สามารถพรากจิตใจที่เข้มแข็งของน้องได้ เมื่อวันที่น้องรับรู้ถึงความพิการของตนเอง กลับไม่แสดงอาการเสียใจ แต่กลับ “ยิ้มสู้” และปลอบใจกับพ่อแม่แทนว่า “อย่าเสียใจ” – “หยุดร้องไห้” น้องยังไหวและพร้อมสู้ต่อไป
“เขาบอกกับป้า อย่าร้อง ให้ป้าสู้ๆ เพราะเขาก็สู้อยู่ แค่ขาขาด ไม่ได้ทำให้ชีวิตเขาแย่ลงเลย เขาอยู่สู้ต่อไปไหว ยังสามารถช่วยพ่อแม่ต่อไปได้ และเชื่อว่า ไม่กระทบการเรียนเขา เพราะสมองเขายังอยู่ พ่อกับแม่สู้ๆนะ และเขาก็ขอโทษที่ทำให้พ่อแม่ต้องร้องไห้เพราะเขา”
เรื่องราวของความช่วยเหลือบังเกิด! ขึ้นเมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้แชร์ภาพ-คลิปวีดีโอเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ จนเกิดกระแสการบริจาคช่วยเหลือ และเกิดเสียงสะท้อนไปยังหน่วยราชการ จนผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีพร้อมส่วนราชการได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เบื้องต้น และยังมีผู้ใจบุญยังติดต่อเข้ามาอยู่บ้าง
โดยเงินบริจาคทั้งหมด ป้ากมลวรรณ ได้เก็บไว้เพื่อเป็นค่ารักษาอาการต่อเนื่องให้กับน้องแหวน เเม้น้องจะใช้สิทธิ์บัตรทองอยู่ก็ตาม พร้อมนำไปใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆประดังเข้ามา อาทิ ค่าซ่อมรถราวหมื่นกว่าบาท ค่าผ่อนบ้านเดือน 3 พันบาท ค่าน้ำค่าไฟ หนี้สินในระบบและนอกระบบ ซึ่งมียอดรวมๆกว่า 2 แสนบาท รวมถึงค่าครองชีพรายวันในขณะนี้ ที่ทั้งคู่ต้องหยุดงาน เพื่อสับเปลี่ยนไปเฝ้าดูแลน้องแหวน ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในห้องไอซียู
ซึ่งป้ากมลวรรณบอกว่า หากตนเองพักรักษาตัวและหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว จะเร่งเดินหน้าทำมาหากินตามเดิม แม้จะได้รายได้ไม่มาก แต่เชื่อว่า พอที่จะนำมาเป็นเงินสะสมเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายต่างๆในครอบครัว ส่วนเรื่องความรับผิดชอบของคนขับรถประจำทางนั้น ป้ากมลวรรณย้ำว่า ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ไม่เคยได้รับการติดต่อหรือการมาเยี่ยมเยียนของบุคคลนี้เลย แต่ก็เชื่อในคำพูดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ยืนกรานว่า คนขับรายนี้พร้อมรับผิดและให้ความช่วยเหลือเต็มที่
เพียงแต่….ป้ากมลวรรณ ระบุว่า “ป้าไม่ขออะไรมากมายเลย ช่วยมาแสดงความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหน่อยได้ไหม หรือ แสดงคำขอโทษต่อหน้าลูกสาว ก็ยังดี” จึงติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีนี้ โดยร้อยตำรวจเอก ระบุว่า ตั้งแต่เกิดเหตุได้ทำการแจ้งข้อหากับคนขับรถประจำทางรายนี้แล้ว ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ตามมาตรา 300 ที่ระบุโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และ ปรับไม่เกิน 6 พันบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการรักษาอาการของน้องแหวนและใบรับรองแพทย์ ก็จะดำเนินการได้ทันที ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่สามารถนำมาใช้ประกอบคดีได้ เนื่องจากระยะของมุมกล้องไม่สามารถจับภาพที่เกิดเหตุได้
อย่างไร ขอเป็นกำลังใจกับครอบครัว คุณกมลวรรณ เจริญศิริ หากผู้ใจบุญใดต้องการให้ความช่วยเหลือ สามารถบริจาคเงินผ่านบัญชีชื่อน.ส.กมลวรรณ เจริญศิริ หมายเลขบัญชี 1230165509 หรือบัญชี ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขาโลตัสปากเกร็ด เลขบัญชี 870-0-15387-0 หรือติดต่อได้โดยตรงที่เบอร์โทร 081-556-0918
ชัยพัฒน์ แกล้วทนงค์ รายงาน / ภาพ
ขอบคุณ... http://news.mthai.com/hot-news/general-news/482530.html
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
คุณกมลวรรณ เจริญศิริ อายุ 49 ปี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว เสียงตึ้ม!! ดังสนั่น 1 ครั้ง ร่างเด็กสาววัย 9 ขวบ กระเด็นตกรถจักรยานยนต์สามล้อเกลือกกลิ้งเข้าไปใต้ท้องรถประจำทางสาย 33 ขาขวาของเด็กสาวถูกล้อรถบดขยี้กระดูกแหลก ไร้เสียงกรี๊ดร้อง มีเพียงเสียงเรียกหา “แม่จ๋า แม่อยู่ไหน” ขณะที่ผู้เป็นแม่มีความพิการปอลิโอขาลีบเดินไม่ได้ พยายามนำร่างที่บาดเจ็บเช่นกัน กระเสือกกระสนเพื่อโผกอดลูก แต่ก็ไม่สำเร็จ ได้แต่นอนมองลูกเจ็บปวดทรมานทั้งน้ำตา และ คำภาวนา ขอให้ลูกปลอดภัย” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบริเวณห้าแยกปากเกร็ด เวลาประมาณ 19.00 น. ของวันที่ 3 มี.ค.59 โดยคุณกมลวรรณ เจริญศิริ อายุ 49 ปี ป่วยเป็นโปลิโอขาลีบทั้งสองข้างตั้งแต่วัยเด็ก เปิดใจว่า เธอได้ขับขี่จักรยานสามล้อพาลูกสาว ด.ญ.ชุติการณ์ มีภัย หรือ น้องแหวน อายุ 9 ปี นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาที่ 3 โรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ฯ นั่งซ้อนเพื่อไปขายไอศครีมเช่นปกติ แต่ขากลับระหว่างรถติดสัญญาณไฟแดงบริเวณ ห้าแยกปากเกร็ด จ.นนทบุรี เธอได้ขับอ้อมขึ้นมาอยู่ข้างหน้ารถประจำทางสาย 33 และขณะที่สัญญาณไฟเขียว เธอก็ได้ออกตัวรถไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นได้ยินเสียงชนแรงที่ท้ายรถของเธอ ทั้งสองแม่ลูกจึงกระเด็นไปคนละทิศทาง ซึ่งร่างของเธอได้รับบาดเจ็บบริเวณร่างกายซีกขวาตั้งแต่ใบหน้าจนถึงหัวเข่า แต่…ลูกสาว กลับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากร่างของเธอกระเด็นเข้าใต้ท้องรถประจำทาง และขาขวาถูกล้อรถทับจนกระดูกแหลก “ตอนที่เกิดเหตุ มันเร็วมากและก็งงๆ เจ็บแบบชาๆไปทั้งตัว มองหาแต่ลูก ได้ยินเสียงเรียกหาแต่ป้า พอเห็นลูกถูกรถทับขา เลือดเต็มเลย ยิ่งตกใจ พยายามจะไปหาลูกให้ได้ แต่ก็ไปไม่ได้ ทั้งเจ็บทั้งพิการ หัวใจทรมานมาก ได้แต่ร้องไห้ ภาวนาขอให้ลูกไม่เป็นอะไรมาก แต่เขาเก่งมาก ใจสู้มาก เขาไม่ร้องไห้เลย เรามากกว่าที่อ่อนแอเมื่อเห็นลูกในสภาพเช่นนั้น” สภาพรถจักรยานยนต์3ล้อที่ประสบเหตุ สองแม่ลูกร่ำไห้เรียกหากันบนความเจ็บปวด ท่ามกลางไทยมุงเต็มท้องถนนและเหล่าพลเมืองดีที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแจ้งมูลนิธิฯนำส่งตัวลูกรักษาตัวเร่งด่วนที่ รพ.ชลประทาน ก่อนเคลื่อนย้ายไปที่ รพ.ศิริราช โดยมีผู้เป็นพ่อ คือ คุณคำมูล มีภัย อายุ 41 ปี มีความพิการแขนซ้ายขาดและเดินกะเผลกจากอุบัติเหตุรับงานก่อสร้างเมื่อ 40 ปีก่อน ขณะที่ผู้เป็นแม่กลับมารักษาบาดเเผลที่ห้องพัก ม.เอื้ออาทร นอนซมอยู่บนแคร่อยู่หลายวัน ท่ามกลางการดูแลและให้กำลังขอเหล่าเพื่อนพิการ สำหรับอาการบาดเจ็บของน้องแหวนนั้น วันแรกอยู่ในอาการโคม่ามา แพทย์ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและดูดเสมหะอยู่ตลอด ขณะที่ขาข้างขวา แพทย์ไม่สามารถยื้อไว้ได้ จำต้องตัดขาออกไปจนถึงส่วนของน่องขา แต่แผลติดเชื้อ จนวันที่ 7 มี.ค.59 แพทย์จำต้องผ่าตัดขาข้างขวาออกส่วนที่เหลือออกไปอีกครั้ง จนขาของน้องแหวนขณะนี้ถูกหั่นสั้นถึงส่วนของสะโพก หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครอบครัวนี้ต้องมีสมาชิกกลายเป็นคนพิการเพิ่มเข้ามา ทั้งที่ก่อนหน้านี้น้องแหวน คือ หัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน และช่วยทำมาหากิน ในการช่วยพ่อแม่พิการขายไอศครีมและลอตเตอรี่หลังเลิกเรียนอยู่เป็นประจำ พอพลบค่ำน้องแหวนยังหารายได้พิเศษด้วยรับใบเตยที่พับเป็นดอกกุหลาบ มาตระเวนขายตามศาลาวัดที่มีงานต่างๆ ซึ่งในแต่ละวันกว่าจะได้กลับถึงบ้านเวลาก็ยามวิกาลเสียแล้ว ความกตัญญูของน้องแหวน ไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียน เพราะทุกปีการศึกษาน้องยังรักษามาตรฐานการเป็นเด็กเรียนดี ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 และยังเด่นด้านกิจกรรม ที่เป็นทั้งนักกีฬา และ ตัวแทนการแสดงนาฏศิลป์ของโรงเรียน แต่….ความหวังเพื่อพึ่งพาของพ่อแม่ก็ดับสลาย เมื่ออุบัติเหตุครั้งนี้พรากสภาพร่างกายของน้องไป แต่ไม่ได้สามารถพรากจิตใจที่เข้มแข็งของน้องได้ เมื่อวันที่น้องรับรู้ถึงความพิการของตนเอง กลับไม่แสดงอาการเสียใจ แต่กลับ “ยิ้มสู้” และปลอบใจกับพ่อแม่แทนว่า “อย่าเสียใจ” – “หยุดร้องไห้” น้องยังไหวและพร้อมสู้ต่อไป “เขาบอกกับป้า อย่าร้อง ให้ป้าสู้ๆ เพราะเขาก็สู้อยู่ แค่ขาขาด ไม่ได้ทำให้ชีวิตเขาแย่ลงเลย เขาอยู่สู้ต่อไปไหว ยังสามารถช่วยพ่อแม่ต่อไปได้ และเชื่อว่า ไม่กระทบการเรียนเขา เพราะสมองเขายังอยู่ พ่อกับแม่สู้ๆนะ และเขาก็ขอโทษที่ทำให้พ่อแม่ต้องร้องไห้เพราะเขา” เรื่องราวของความช่วยเหลือบังเกิด! ขึ้นเมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้แชร์ภาพ-คลิปวีดีโอเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ จนเกิดกระแสการบริจาคช่วยเหลือ และเกิดเสียงสะท้อนไปยังหน่วยราชการ จนผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีพร้อมส่วนราชการได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เบื้องต้น และยังมีผู้ใจบุญยังติดต่อเข้ามาอยู่บ้าง โดยเงินบริจาคทั้งหมด ป้ากมลวรรณ ได้เก็บไว้เพื่อเป็นค่ารักษาอาการต่อเนื่องให้กับน้องแหวน เเม้น้องจะใช้สิทธิ์บัตรทองอยู่ก็ตาม พร้อมนำไปใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆประดังเข้ามา อาทิ ค่าซ่อมรถราวหมื่นกว่าบาท ค่าผ่อนบ้านเดือน 3 พันบาท ค่าน้ำค่าไฟ หนี้สินในระบบและนอกระบบ ซึ่งมียอดรวมๆกว่า 2 แสนบาท รวมถึงค่าครองชีพรายวันในขณะนี้ ที่ทั้งคู่ต้องหยุดงาน เพื่อสับเปลี่ยนไปเฝ้าดูแลน้องแหวน ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในห้องไอซียู ภาพขณะน้องแหวนประสบเหตุ ซึ่งป้ากมลวรรณบอกว่า หากตนเองพักรักษาตัวและหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว จะเร่งเดินหน้าทำมาหากินตามเดิม แม้จะได้รายได้ไม่มาก แต่เชื่อว่า พอที่จะนำมาเป็นเงินสะสมเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายต่างๆในครอบครัว ส่วนเรื่องความรับผิดชอบของคนขับรถประจำทางนั้น ป้ากมลวรรณย้ำว่า ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ไม่เคยได้รับการติดต่อหรือการมาเยี่ยมเยียนของบุคคลนี้เลย แต่ก็เชื่อในคำพูดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ยืนกรานว่า คนขับรายนี้พร้อมรับผิดและให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เพียงแต่….ป้ากมลวรรณ ระบุว่า “ป้าไม่ขออะไรมากมายเลย ช่วยมาแสดงความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหน่อยได้ไหม หรือ แสดงคำขอโทษต่อหน้าลูกสาว ก็ยังดี” จึงติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีนี้ โดยร้อยตำรวจเอก ระบุว่า ตั้งแต่เกิดเหตุได้ทำการแจ้งข้อหากับคนขับรถประจำทางรายนี้แล้ว ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ตามมาตรา 300 ที่ระบุโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และ ปรับไม่เกิน 6 พันบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการรักษาอาการของน้องแหวนและใบรับรองแพทย์ ก็จะดำเนินการได้ทันที ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่สามารถนำมาใช้ประกอบคดีได้ เนื่องจากระยะของมุมกล้องไม่สามารถจับภาพที่เกิดเหตุได้ อย่างไร ขอเป็นกำลังใจกับครอบครัว คุณกมลวรรณ เจริญศิริ หากผู้ใจบุญใดต้องการให้ความช่วยเหลือ สามารถบริจาคเงินผ่านบัญชีชื่อน.ส.กมลวรรณ เจริญศิริ หมายเลขบัญชี 1230165509 หรือบัญชี ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขาโลตัสปากเกร็ด เลขบัญชี 870-0-15387-0 หรือติดต่อได้โดยตรงที่เบอร์โทร 081-556-0918 ชัยพัฒน์ แกล้วทนงค์ รายงาน / ภาพ ขอบคุณ... http://news.mthai.com/hot-news/general-news/482530.html
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)