'นิค วอยาชิช'ไอดอลพิการไม่ใช่อุปสรรค

แสดงความคิดเห็น

'นิค วอยาชิช' นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

'นิค วอยาชิช' นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ไอดอลพิการไม่ใช่อุปสรรค หนุ่มพิการไร้แขนขา เดินทางมาไทยครั้งแรกตามคำเชิญของบ.บริดจ์ คอมมิวนิเคชั่น วีณารัตน์ เลาหภัคกุล

ปฏิกิริยาแรกของคุณคืออะไรคะเมื่อทราบว่าตัวเองพิเศษไม่เหมือนใคร

ผมทราบว่าผมไม่มีแขนและขา แต่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร จนกระทั่งได้ไปโรงเรียน ผมเริ่มโดนล้อและโดนแกล้ง ผมตระหนักว่าผมไม่เหมือนคนอื่น ผมทำอย่างที่คนอื่นเขาทำกันไม่ได้ พ่อแม่ผมให้กำลังใจผมเสมอ พวกเขาให้ผมสนใจสิ่งที่ผมมีและขอบคุณสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะอิจฉาว่าสิ่งที่คนอื่นเขามีการรู้ว่าตัวเองเป็นใครสำคัญมากกว่าการ มีอะไร ผมซึมเศร้าและรู้สึกโดดเดี่ยว ผมรู้สึกอยากยอมแพ้ตอนที่เป็นเด็ก

คุณเอาชนะการโดนแกล้งที่โรงเรียนยังไง

พ่อแม่ผมมักบอกว่าอย่าไปสนใจ แต่มันยากมาก จริงๆ แล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พวกเขาพยายามให้แนวคิดผมว่า ถ้าคนไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมเพราะกายภาพของผม พวกเขาก็จะเสียโอกาสที่จะได้มีมิตรภาพดีๆ และคุณเองก็คงไม่อยากเป็นเพื่อนกับพวกเขาเหมือนกัน ถ้าเขามาตัดสินที่รูปลักษณ์ภายนอก ในช่วงที่ไม่ทราบว่าตัวเองมีคุณค่าอย่างไร อาจจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง และคิดว่าอยากให้ชีวิตต่างออกไปอย่างไร สนใจเรื่องว่า รูปลักษณ์เป็นยังไง เป็นที่รู้จักไหม เป็นคนเก่งไหม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เรามักมองสิ่งภายนอก พ่อแม่ผมมักสอนให้รักแม้กระทั่งศัตรู คนที่แกล้งผมอาจมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก ทำให้พวกเขามีความโกรธแค้น ทำให้ทำร้ายคนอื่น การที่ทำให้ผมเข้าใจว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่เจ็บปวด มีคนอีกเยอะที่ถูกแกล้งเหมือนกัน และการไม่ให้ผมทำอะไรได้เพราะความกลัวตรงนั้น แต่ให้ผมรู้จักคิดฝันใหญ่ๆ เป็นเรื่องยากครับ เพราะผมรู้สึกโดดเดี่ยว ผมไม่คิดว่าผมมีอนาคตหรือความหวัง ผมไม่คิดว่าผมมีมากพอที่จะมีความสุข

คุณให้กำลังใจตัวเองในตอนนั้นยังไง

พ่อแม่ผมมักให้กำลังใจผมเสมอ พวกเขาบอกว่ารักผม และสวดมนต์ให้ผม เราไปโบสถ์ พ่อแม่เป็นคริสเตียน พวกเขาพยายามปลูกฝังให้ผมเชื่อมั่นว่า มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าในชีวิตของผม เป็นสิ่งที่ผมอาจจะยังมองไม่เห็นตอนนั้น พระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเจ้ามีแผนการ ความหวังและอนาคตให้ผม แต่ผมมองไม่เห็นเลยครับ แม้จะได้รับกำลังใจ แต่ผมก็ยังหดหู่ ผมพยายามฆ่าตัวตายตอนผมอายุ 10 ขวบ พยายามจะทำให้ตัวเองจมน้ำในอ่างน้ำที่บ้าน ผมรู้สึกว่าไม่มีความหวัง

ความหวังเป็นคำที่มีพลังมาก เราทุกคนมองหาความหวัง หาซื้อไม่ได้ ต้องใช้ความจริง คุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ผมดีใจที่ผมไม่ได้ฆ่าตัวตาย เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ผมต้องเจ็บปวด มองย้อนกลับไป ผมรู้ว่าผมจะพลาดอะไรดีๆ ถ้ายอมแพ้ไปเสียก่อน ผมอยากให้ทุกคน โดยเฉพาะวัยรุ่นว่า อย่ายอมแพ้ อะไรที่ไม่ดีอาจจะกลายเป็นสิ่งที่สวยงามก็ได้

อะไรทำให้เปลี่ยนใจไปคิดฆ่าตัวตายคะ

ผมไม่อยากให้พ่อแม่ผมรู้สึกกับผมหรือความอับอาย พวกเขาคงคิดว่าน่าจะทำอะไรมากกว่าที่ทำ พวกเขาให้ความรักผม พวกเขาไม่สมควรที่จะต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างนั้น ผมเลยตัดสินใจที่จะอยู่ครับ

ครอบครัวคุณเป็นส่วนสำคัญมากในชีวิตคุณความผูกพันยิ่งใหญ่ขนาดไหน

พ่อแม่ผมทำให้บ้านเป็นที่พักใจ ไม่ว่าจะเจอวันที่เลวร้ายขนาดไหน ผมสามารถกลับมาบ้านได้ บ้านที่เปี่ยมรัก บ้านที่เต็มไปด้วยการยอมรับและให้กำลังใจ พ่อแม่ผมพร้อมฟังผมเสมอ พ่อผมก็เหมือนคุณพ่อทั่วไป บอกให้ผมขยันเรียนที่โรงเรียนและพยายามให้มาก ผมเป็นเด็กที่มีระเบียบ เหมือนพี่น้องของผม ผมต้องเก็บเตียงนอน ทำความสะอาดบ้าน ดูดฝุ่น ผมทำงานบ้าน ในส่วนของผม พ่อแม่ผมส่งเสริมให้ผมทำดีที่สุด นี่คือความรักที่ผมรู้ว่าผมพึ่งพิงได้เสมอ

คุณก็ต้องหาวิธีใหม่ๆ เสมอในการดำรงชีวิตใช่ไหมคะ อย่างการกิน การกวาดบ้าน การแปรงฟัน หรือการอาบน้ำ

ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่น เพื่อนผมถามว่า ใครช่วยผม ผมบอกว่าพ่อแม่ผม เธอถามว่า แล้วศักดิ์ศรีของคุณล่ะ ผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่าศักดิ์ศรี ผมมาตระหนักทีหลังและคิดว่า ผมน่าจะพยายามอยู่ได้ด้วยตัวเอง ผมควรพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนที่แปรงฟันเองได้ หรือแต่งตัวได้เอง ตรงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าสักเท่าไหร่ ทุกคนมีคุณค่าในตัวเองไม่ว่าจะเดินได้ไหมหรือต้องนั่งรถเข็น ตอนผมอายุ 13 ผมพยายามเต็มที่ ผมแปรงฟันเอง หวีผมเอง ดูแลตัวเอง พอผมอายุ 15-16 ผมสามารถแต่งตัว พร้อมออกจากบ้านและขึ้นรถแท็กซี่ แต่ปัญหาคือ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในความพยายามและตั้งใจ ต้องลองทำใหม่เวลาที่ทำไม่ได้ ผมมีผู้ดูแลตอนอายุ 23-24 ปี ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไรหากว่าเราต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น การยอมรับตรงนี้ต้องใช้ความถ่อมตนในการตระหนักว่าเราต้องการความช่วย เหลือ ผมไม่สมบูรณ์แบบ ผมไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ มีอีกหลายอย่างที่ผมต้องแก้ไข ผมต้องการรักคนได้มากกว่านี้ มีความอดทนมากกว่านี้ สำหรับในแง่กายภาพ สิ่งที่ผมดีใจมากเลยในการมีทีมงานรอบตัวผมคือ ผมสวดมนต์ให้พวกเขาและพวกเขาก็สวดให้ผม เป็นทีมเดียวกัน เป็นเรื่องที่ดีมากในการเดินทางรอบโลกด้วยกัน

เทียบกับตอนเป็นเด็ก ตอนเป็นวัยรุ่นเป็นช่วงที่ยากลำบากมากกว่าไหมคะ

ตอนเด็กลำบากกว่าครับ แต่ตอนเป็นวัยรุ่น ผมเริ่มกังวลว่า ผมจะมีชีวิตแบบไหน ผมคงไม่มีงานทำ ผมคงไม่ได้ไม่ได้แต่งงาน คงไม่มีแผน และต่อให้มี ผมยังจับมือเธอไม่ได้เลย สิ่งเหล่านี้เริ่มมีเข้ามาในหัว เป็นช่วงอายุที่ทุกคนเริ่มออกเดท ผมเลยเริ่มคิดว่าผมจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตหรือไม่ ตอนอายุ 15 เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ที่ผมได้เจอกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์ จอห์น บทที่ 9 ชายคนหนึ่งเกิดมาตาบอดและไม่มีใครทราบว่า ทำไม่ถึงเกิดมาเป็นแบบนั้น พระเยซูตรัสว่าเป็นแบบนี้เพราะผลงานของพระเจ้า จะแสดงออกผ่านผู้ชายคนนี้ ผมเลยคิดว่า ถ้าพระเยซูมีแผนสำหรับคนตาบอด พระเจ้าก็คงมีแผนให้ผม ผมคิดว่าถ้าพระองค์ไม่ให้แขนกับขาแก่ผม ผมทราบว่าพระองค์ทรงสร้างปาฏิหาริย์ ผมเก็บรองเท้าไว้ในตู้เสื้อผ้าคู่หนึ่ง เผื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ต่อให้พระองค์ไม่ทรงให้แขนและขาแก่ผม ผมสมบูรณ์แบบแล้ว ผมมีสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ และแขนและขาไม่สามารถให้ได้ เป้าหมาย ความกระตือรือร้น ความกล้าหาญ ความสงบ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตไม่ใช่สิ่งของแต่คือการรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง รู้จุดประสงค์ของตัวเอง นั่นคือตอนที่ผมอายุ 15 ครับ

คุณรับมือกับคำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" และความโกรธยังไง

คำถามที่ว่า ทำไมต้องเป็นผมเกิดขึ้นตอนอายุ 8-10 ขวบ ผมไม่เห็นสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ผมรู้สึกว่า ไม่มีจุดประสงค์อยู่เบื้องหลัง จุดมุ่งหมายนำมาซึ่งความกล้าหาญ ถ้าไม่รู้ว่าเราอยู่ที่นี่ทำไม ไม่สำคัญว่าคุณมีหรือไม่มีอะไร แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ทำไม ถ้าไม่มีการรับรู้ตรงนี้ คนก็อยู่ไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าชีวิตผมจะเป็นยังไง ผมอยากให้คนรู้ว่าเป็นการเดินทาง อยู่กันทีละวัน ตั้งเป้าหมายเล็กๆ สร้างความมั่นใจ คนรอบตัวผมให้กำลังใจผม รักผม พ่อแม่ผมมักพูดว่า ทำให้ดีที่สุด แล้วพระเจ้าจะทรงทำที่เหลือ นั่นช่วยผมได้มาก การสวดมนต์ พระคัมภีร์ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่า ความศรัทธาสำคัญมาก ถ้าไม่ศรัทธาในความหวัง คุณไม่เชื่อสิ่งที่มองไม่เห็น ถ้าคุณเชื่อเฉพาะสิ่งที่มองเห็นเท่านั้น คุณจะพลาดอะไรดีๆ เยอะเลยครับ ดูสิครับ ผมจะพลาดอะไรไปบ้าง ถ้าเชื่อเฉพาะในสิ่งที่เห็นตอนที่ผมเป็นเด็ก ความศรัทธา "FAITH"- Full Assurance In The Heart คุณเอาชนะได้ คุณสวยงามอย่างที่เป็น คุณไม่ใช่ความผิดพลาด คุณถูกสร้างมาเพื่อให้กำลังใจและรักคนอื่น

คุณทราบตอนไหนคะว่าอยากจะเป็นนักพูดแนวให้กำลังใจ

ตอนผมอายุ 17 ปี ภารโรงจะคุยกับผมทุกวัน คุยเกี่ยวกับทุกอย่าง เรื่องเพศ พระเจ้า ศาสนา ชีวิตเขาบอกว่าผมจะเป็นนักพูดสักวัน เขาบอกว่าผมจะเล่าเรื่องราวของตัวเอง ผมบอกว่าผมไม่มีเรื่องราวอะไรจะเล่า เขาบอกว่าผมมี เขาตื๊อผม 3 เดือนให้ไปพูดให้เด็กวัยรุ่น 10 คนฟัง สุดท้ายผมไป ผมพูด พวกเขาเริ่มร้องไห้ พวกเขาคงซึ้งมาก แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เชิญให้ไปพูดที่นั่นที่นี่ ผมไปพูดต่อหน้าเด็กวัยรุ่น 300 คนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ตอนผมอายุ 19 ผมไม่รู้จะพูดอะไร มือเหงื่อออก ขาสั่น แล้วผู้หญิงครึ่งห้องก็ร้องไห้ มีอยู่คนหนึ่งที่ยกมือขึ้นแล้วบอกว่า ขอโทษนะคะ ขออนุญาตไปกอดคุณบนเวทีได้ไหม ต่อหน้าทุกคน เธอขึ้นมากอดผมแล้วก็ร้องไห้ และพูดว่า ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ไม่เคยมีใครบอกว่ารักหนู ไม่เคยมีใครบอกเลยว่าหนูสวยอย่างที่เป็น นั่นคือตอนที่ผมทราบว่าได้เปลี่ยนแปลงชีวิตหนึ่งชีวิต และทำให้รู้ว่าผมคงไม่เป็นนักบัญชีหรือนักวางแผนการเงินแล้ว ผมก็เรียนจนจบปริญญา แต่ผมก็พยายามเริ่มเป็นนักพูดครับ

จากตอนนั้น คุณเดินทางไปทั่วโลก มีประสบการณ์ไหนประทับใจเป็นพิเศษบ้างคะ

การได้พบกับประธานาธิบดีหญิงคนแรกของไลบีเรียเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว เราไปยังที่ที่มีคนถูกฆ่า 15,000 คนเพราะศาสนา เราไปคุยกับชาวคริสต์และมุสลิมราว 10,000-15,000 คน ผมพูดเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิต และความศรัทธาในพระเจ้า ในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศอย่างในไลบีเรีย ยังมีความเชื่อเดิมๆ ที่เชื่อว่า ถ้าเด็กเกิดมาพิการจะถูกมองว่าเป็นคำสาปของพระเจ้า ถ้าไม่ฝังทั้งเป็น คำสาปนี้จะแพร่ไปทั่วหมู่บ้าน ผมไปที่นั่นเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่า ไม่ว่าจะหน้าตายังไง มีหรือไม่มีอะไรก็ตาม เห็นผลใหญ่หลวงที่นั่นครับ

รัฐบาลจีนอนุญาตให้ผมไปพูดกับนักศึกษาจีนมากมาย เพราะแรงกดดันเยอะมาก ยิ่งเจอเศรษฐกิจโลกไม่ได้ด้วย ทำให้วัยรุ่นหลายคนยอมแพ้ ผมพูดถึงการฆ่าตัวตายและการไม่ยอมแพ้ ผมออกทีวีต่อหน้าคนดูราว 40 ล้านคน เมื่อ 4 ธันวาคม ปี 2010 ผมออกทีวีต่อหน้าคน 270 ล้านคนทั่วละตินอเมริกา ตอนนี้มีคนราว 1.3 พันล้านคนที่รู้เรื่องราวของผม เป้าหมายของเราคือ 7 พันล้านคน เราขอบคุณที่รัฐบาลทั่วโลกใช้ผมให้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่วัยรุ่น ผู้พิการ โดยเฉพาะการให้เด็กพิการเข้าไปอยู่ในโรงเรียนปกติ สำหรับประเทศชาติ ต้องมีคุณธรรม เริ่มที่ผู้นำต้องมีคุณธรรม ผมอยากให้คนในสังคมรักกันมากขึ้น ขอให้คนไทยช่วยเหลือกันมากขึ้น รักกันและให้กำลังใจกันครับ

อะไรคือใจความหลักที่คุณอยากบอกคนอื่น เวลาที่ไปพูดรอบโลกคะ

ข้อความหลักคือ คุณค่าที่แท้จริงในตัวคุณ และเป้าหมายหลักที่แท้จริง เพื่อให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้ทำให้คุณมีความสุข เงิน ยาเสพติด เซ็กส์ แอลกอฮอล์ สิ่งลามก ชื่อเสียง เงินตรา ความเห็นของคนอื่นเกี่ยวกับคุณ คุณไม่ต้องเป็นเหมือนใคร คุณเป็นตัวคุณให้ดีที่สุด ให้รักกัน ให้รู้ว่าเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ที่เป็นนิรันดร์ ให้สำนึกผิดในสิ่งที่ทำไม่ดี ความอิจฉา ความเกลียดชัง ความหยิ่งยโส ความโลภ และความใคร่ เวลาเราหันหลังให้สิ่งเหล่านี้ เราจะพบความจริง เราเป็นอิสระ ผมมีอิสระ ไม่ใช่เพราะมีคนรู้จักผมมากขนาดไหน ไม่ใช่เพราะจำนวนเงินที่อยู่ในบัญชีผม แต่เพราะรู้ว่ามีใครบางคนที่ต้องได้ฟังเรื่องของความหวัง ผมเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับคนอื่น ทุกคนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่คนอื่นได้เหมือนกัน

เวลาดิฉันคุยกับคุณ คุณยิ้มตลอดเวลา ดูเป็นคนที่มีความสุข คุณเป็นคนคิดบวกตลอดเวลาได้ยังไง

เพราะผมมีความหวัง ผมเลยมีทัศนคติที่ดี บางคนบอกว่าวิธีที่จะมีความหวังคือการมีทัศนคติที่ดี ผมว่าไม่ใช่ครับ ถ้ามีคนกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง แล้วเขาไม่รู้ว่าจะไปไหนหลังชีวิตนี้ จะมีทัศนคติที่ดีได้อย่างไร เพราะผมรู้ว่าผมจะไปไหน ผมเป็นใคร ความตายก็ไม่ทำให้ผมกลัว ผมอยากให้คนรู้ว่า ถ้ามีความหวัง จะพบความสงบ ไม่ใช่เพราะผมพยายามคิดบวก แต่เป็นเพราะผมรู้ว่าทุกวันเป็นโอกาสในการมอบความรัก

คุณยังคงมีความหวังได้ยังไง ในวันที่มืดมนที่สุด

ผมอ่านพระคัมภีร์ออกมาดังๆ มีคนสวดมนต์ให้ผม ให้กำลังใจผม ผมใช้ชีวิตทีละวัน บางทีเรามองไปรอบๆ แล้วคิดว่าจะออกมายังไง ต้องทีละขั้นครับ แล้วจะออกจากความซึมเศร้านั้น คุณอย่าเลือกที่จะอยู่ที่นั่น อยากให้เชื่อมั่นว่าจะมีสิ่งดีๆ แล้วจะเกิดขึ้น ทุกคนมีบางอย่างรออยู่ จุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็จะไม่ค้นหา และถ้าไม่ค้นหา ก็จะไม่เจอ

ตอนนี้คุณเป็นคุณพ่อและเป็นสามี รู้สึกยังไงคะ

น่าทึ่งครับ การแต่งงานยอดเยี่ยมมาก ผมแนะนำการแต่งงานอย่างสูงครับ ตอนที่ผมรู้สึกลูกผมเตะในท้องภรรยา ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง ตื่นเต้น มีความสุขมาก มีความสงบ ความรัก ผมพูดออกมาดังๆ ว่าผมรักลูก ผมชอบความรู้สึกที่ผมได้รักในฐานะพ่อคน สิ่งที่ผมต้องการคือสื่อสารกับคนทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสมดุล อย่างแรกคือต้องมีเวลาในการสวดมนต์และศรัทธาในศาสนา อย่างที่สองคือครอบครัว ผมต้องการเป็นสามีที่ดีมากกว่าเป็นนักพูดที่ดีและเป็นพ่อที่ดีด้วย

ผมอยากให้ลูกรู้ว่าพ่อรักลูก รู้ได้ยังไง โดยการที่พ่อใช้เวลากับลูก มีอะไรให้ทำเสมอ ยุ่งตลอด แต่ก็ต้องควบคุมสิ่งที่ทำ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ ค่อยเป็นค่อยไป ทีละปีครับ

คุณสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก ใครเป็นแรงบันดาลใจของคุณคะ

มีผู้ชายที่ชื่อว่า ฟิลิป โทฮ์ ที่ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย ตอนอายุ 22 ปี เริ่มมีอาการ ใช้เวลาอีก 12 เดือนถึงรู้ว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) เขาต้องทรมานกับการที่ร่างกายค่อยๆหยุดทำงาน แต่เขากลับไม่เศร้า ไม่เสียใจ หมอบอกอยู่ได้ 3 เดือน แต่เขาอยู่ 5 ปี ผมเจอเขา 2 ปีก่อนที่เขาจะเสีย เขายิ้ม เขาเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่เขายังพอขยับคอได้ ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ เขาเปิดเว็บไซต์ ผมคิดว่า ถ้าคนคนนี้เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ยังสามารถสื่อกับคนได้มากมาย แล้วผมละ ทำอะไรอยู่ นั่นคือ 11 ปีที่แล้ว เป็นปีที่ผมเริ่มพูดครับ

เรื่องราวของคุณน่าทึ่งมาก คุณเป็นแรงบันดาลใจให้คนมากมาย รวมทั้งคนในเมืองไทยด้วย

ผมเองก็ได้รับแรงบันดาลใจ ผมเจอคนที่ทำสิ่งดีๆ อย่างการสร้างบ้านสายรุ้ง เป็นการช่วยเหลือคนที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เราเองก็จะบริจาคเงิน อยากมีเงินเยอะๆ แต่เราก็ไม่มี ใน 5 ปีข้างหน้า ผมตั้งใจจะระดมคนได้ 10 ล้านคน ที่จะบริจาคเงิน 1 ดอลลาร์ต่อเดือน วันหนึ่งผมอยากกลับมาเมืองไทย และบริจาคเงินให้แก่สิ่งดีๆ ในประเทศไทย

ไว้กลับมาอีกนะคะ

บนเส้นทางต่อสู้ 31 ปี หนุ่มออสเตรเลียผู้ไร้แขนขาแต่กำเนิด นักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่ปลุกพลังชีวิตให้ผู้คนนับล้านๆ ทั่วโลก นักเขียน และผู้อำนวยการองค์การเพื่อสังคม Life Without Limbs ปัจจุบันใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่แคลิฟอร์เนียตอนใต้ กับคานาเอะ ภรรยา และลูกชาย และยังคงตระเวนบรรยายสร้างแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ให้ผู้คนทั่วโลกพิชิตอุปสรรค ทำฝันให้เป็นจริง และเข้าใจความหมายของการมีชีวิต ตามติดนิกได้ที่ www.LifeWithoutLimbs.org และ www.AttitudeIsAltitude.com

NICK VUJICIC (นิก วอยาชิช) หรือ Nicholas James Vujicic ปัจจุบันอายุ 31 ปี เกิดวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2525 ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย ชาวออสเตรเลีย เชื้อสายเซอร์เบียน แม่เป็นพยาบาล พ่อแม่มีภูมิลำเนาอยู่ประเทศยูโกสลาเวีย หรือประเทศเซอร์เบียในปัจจุบัน แล้วย้ายทั้งครอบครัวมาอยู่ออสเตรเลีย จากนั้นย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.2537 ตอนเขาเรียนชั้น ป. 6 เป็นบุตรชายคนโตของครอบครัว ทั้งพ่อและแม่ต่างเป็นคริสเตียนเคร่งศาสนา พิการไร้แขนขา (โฟโคมีเลีย) มาแต่กำเนิด มีเท้าซ้ายเล็กจิ๋วงอกมานิดหนึ่ง มีเพียง 2 นิ้ว เขาใช้เท้าซ้ายช่วยพลิกลำตัว เตะ ผลัก และยันตัว น้องชายชื่อ แอรอน น้องสาวชื่อ มิเชล อายุ 15 ปี เข้าสู่คริสต์ศาสนาอย่างเต็มตัว ชั้นมัธยมปลายก็เริ่มบรรยายให้กลุ่มเล็กๆ ฟัง อายุ 19 ปี เริ่มตระเวนรอบโลกบรรยายให้สาธารณชนฟังตามมหาวิทยาลัยและในโบสถ์เจาะกลุ่มคนหนุ่มสาว นักศึกษา ครูบาอาจารย์ ผู้ประกอบธุรกิจคริสต์ศาสนิก ชน อายุ 21 ปี จบจากมหาวิทยาลัย Griffith สาขาบัญชีและการวางแผนการเงิน อายุ 30 ปี สมรสกับ คานาเอะ มิยาฮาระ (Kanae Miyahara) เมื่อ 12 ก.พ.2555 มีบุตรชาย 1 คน คิโยชิ เจมส์ วูยิชิช (Kiyoshi James Vujicic) เกิด 13 ก.พ.2556 อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน งานอดิเรก ตกปลา ว่ายน้ำ วาดภาพ

ผลงานหนังสือ - Limitless: Devotions for a Ridiculously Good Life (2555) Unstoppable: The Incredible Power of Faith in Action (2554) / นานมีบุ๊คส์ 2556 และ Life Without Limits: Inspiration for a Ridiculously Good Life (2553) / นานมีบุ๊คส์ 2556

ผลงานอื่นๆ - มิวสิกวิดีโอ ร้องบทเพลงให้กำลังใจ ดีวีดี งานบรรยายให้กำลังใจ ณ ที่ต่างๆ เช่น Life's Greater Purpose และ แสดงหนังสั้น เช่น The Butterfly Circus (พ.ศ. 2552) ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายดีเด่น

ขอบคุณ http://www.komchadluek.net/detail/20130907/167614/นิควอยาชิชไอดอลพิการไม่ใช่อุปสรรค.html#.Uiu_XTcrWyg (ขนาดไฟล์: 167)

คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 7 ก.ย.56

ที่มา: คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 7 ก.ย.56
วันที่โพสต์: 8/09/2556 เวลา 02:43:15 ดูภาพสไลด์โชว์ 'นิค วอยาชิช'ไอดอลพิการไม่ใช่อุปสรรค

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

\'นิค วอยาชิช\' นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ 'นิค วอยาชิช' นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ไอดอลพิการไม่ใช่อุปสรรค หนุ่มพิการไร้แขนขา เดินทางมาไทยครั้งแรกตามคำเชิญของบ.บริดจ์ คอมมิวนิเคชั่น วีณารัตน์ เลาหภัคกุล ปฏิกิริยาแรกของคุณคืออะไรคะเมื่อทราบว่าตัวเองพิเศษไม่เหมือนใคร ผมทราบว่าผมไม่มีแขนและขา แต่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร จนกระทั่งได้ไปโรงเรียน ผมเริ่มโดนล้อและโดนแกล้ง ผมตระหนักว่าผมไม่เหมือนคนอื่น ผมทำอย่างที่คนอื่นเขาทำกันไม่ได้ พ่อแม่ผมให้กำลังใจผมเสมอ พวกเขาให้ผมสนใจสิ่งที่ผมมีและขอบคุณสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะอิจฉาว่าสิ่งที่คนอื่นเขามีการรู้ว่าตัวเองเป็นใครสำคัญมากกว่าการ มีอะไร ผมซึมเศร้าและรู้สึกโดดเดี่ยว ผมรู้สึกอยากยอมแพ้ตอนที่เป็นเด็ก คุณเอาชนะการโดนแกล้งที่โรงเรียนยังไง พ่อแม่ผมมักบอกว่าอย่าไปสนใจ แต่มันยากมาก จริงๆ แล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พวกเขาพยายามให้แนวคิดผมว่า ถ้าคนไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมเพราะกายภาพของผม พวกเขาก็จะเสียโอกาสที่จะได้มีมิตรภาพดีๆ และคุณเองก็คงไม่อยากเป็นเพื่อนกับพวกเขาเหมือนกัน ถ้าเขามาตัดสินที่รูปลักษณ์ภายนอก ในช่วงที่ไม่ทราบว่าตัวเองมีคุณค่าอย่างไร อาจจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง และคิดว่าอยากให้ชีวิตต่างออกไปอย่างไร สนใจเรื่องว่า รูปลักษณ์เป็นยังไง เป็นที่รู้จักไหม เป็นคนเก่งไหม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เรามักมองสิ่งภายนอก พ่อแม่ผมมักสอนให้รักแม้กระทั่งศัตรู คนที่แกล้งผมอาจมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก ทำให้พวกเขามีความโกรธแค้น ทำให้ทำร้ายคนอื่น การที่ทำให้ผมเข้าใจว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่เจ็บปวด มีคนอีกเยอะที่ถูกแกล้งเหมือนกัน และการไม่ให้ผมทำอะไรได้เพราะความกลัวตรงนั้น แต่ให้ผมรู้จักคิดฝันใหญ่ๆ เป็นเรื่องยากครับ เพราะผมรู้สึกโดดเดี่ยว ผมไม่คิดว่าผมมีอนาคตหรือความหวัง ผมไม่คิดว่าผมมีมากพอที่จะมีความสุข คุณให้กำลังใจตัวเองในตอนนั้นยังไง พ่อแม่ผมมักให้กำลังใจผมเสมอ พวกเขาบอกว่ารักผม และสวดมนต์ให้ผม เราไปโบสถ์ พ่อแม่เป็นคริสเตียน พวกเขาพยายามปลูกฝังให้ผมเชื่อมั่นว่า มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าในชีวิตของผม เป็นสิ่งที่ผมอาจจะยังมองไม่เห็นตอนนั้น พระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเจ้ามีแผนการ ความหวังและอนาคตให้ผม แต่ผมมองไม่เห็นเลยครับ แม้จะได้รับกำลังใจ แต่ผมก็ยังหดหู่ ผมพยายามฆ่าตัวตายตอนผมอายุ 10 ขวบ พยายามจะทำให้ตัวเองจมน้ำในอ่างน้ำที่บ้าน ผมรู้สึกว่าไม่มีความหวัง ความหวังเป็นคำที่มีพลังมาก เราทุกคนมองหาความหวัง หาซื้อไม่ได้ ต้องใช้ความจริง คุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ผมดีใจที่ผมไม่ได้ฆ่าตัวตาย เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ผมต้องเจ็บปวด มองย้อนกลับไป ผมรู้ว่าผมจะพลาดอะไรดีๆ ถ้ายอมแพ้ไปเสียก่อน ผมอยากให้ทุกคน โดยเฉพาะวัยรุ่นว่า อย่ายอมแพ้ อะไรที่ไม่ดีอาจจะกลายเป็นสิ่งที่สวยงามก็ได้ อะไรทำให้เปลี่ยนใจไปคิดฆ่าตัวตายคะ ผมไม่อยากให้พ่อแม่ผมรู้สึกกับผมหรือความอับอาย พวกเขาคงคิดว่าน่าจะทำอะไรมากกว่าที่ทำ พวกเขาให้ความรักผม พวกเขาไม่สมควรที่จะต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างนั้น ผมเลยตัดสินใจที่จะอยู่ครับ ครอบครัวคุณเป็นส่วนสำคัญมากในชีวิตคุณความผูกพันยิ่งใหญ่ขนาดไหน พ่อแม่ผมทำให้บ้านเป็นที่พักใจ ไม่ว่าจะเจอวันที่เลวร้ายขนาดไหน ผมสามารถกลับมาบ้านได้ บ้านที่เปี่ยมรัก บ้านที่เต็มไปด้วยการยอมรับและให้กำลังใจ พ่อแม่ผมพร้อมฟังผมเสมอ พ่อผมก็เหมือนคุณพ่อทั่วไป บอกให้ผมขยันเรียนที่โรงเรียนและพยายามให้มาก ผมเป็นเด็กที่มีระเบียบ เหมือนพี่น้องของผม ผมต้องเก็บเตียงนอน ทำความสะอาดบ้าน ดูดฝุ่น ผมทำงานบ้าน ในส่วนของผม พ่อแม่ผมส่งเสริมให้ผมทำดีที่สุด นี่คือความรักที่ผมรู้ว่าผมพึ่งพิงได้เสมอ คุณก็ต้องหาวิธีใหม่ๆ เสมอในการดำรงชีวิตใช่ไหมคะ อย่างการกิน การกวาดบ้าน การแปรงฟัน หรือการอาบน้ำ ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่น เพื่อนผมถามว่า ใครช่วยผม ผมบอกว่าพ่อแม่ผม เธอถามว่า แล้วศักดิ์ศรีของคุณล่ะ ผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่าศักดิ์ศรี ผมมาตระหนักทีหลังและคิดว่า ผมน่าจะพยายามอยู่ได้ด้วยตัวเอง ผมควรพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนที่แปรงฟันเองได้ หรือแต่งตัวได้เอง ตรงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าสักเท่าไหร่ ทุกคนมีคุณค่าในตัวเองไม่ว่าจะเดินได้ไหมหรือต้องนั่งรถเข็น ตอนผมอายุ 13 ผมพยายามเต็มที่ ผมแปรงฟันเอง หวีผมเอง ดูแลตัวเอง พอผมอายุ 15-16 ผมสามารถแต่งตัว พร้อมออกจากบ้านและขึ้นรถแท็กซี่ แต่ปัญหาคือ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในความพยายามและตั้งใจ ต้องลองทำใหม่เวลาที่ทำไม่ได้ ผมมีผู้ดูแลตอนอายุ 23-24 ปี ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไรหากว่าเราต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น การยอมรับตรงนี้ต้องใช้ความถ่อมตนในการตระหนักว่าเราต้องการความช่วย เหลือ ผมไม่สมบูรณ์แบบ ผมไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ มีอีกหลายอย่างที่ผมต้องแก้ไข ผมต้องการรักคนได้มากกว่านี้ มีความอดทนมากกว่านี้ สำหรับในแง่กายภาพ สิ่งที่ผมดีใจมากเลยในการมีทีมงานรอบตัวผมคือ ผมสวดมนต์ให้พวกเขาและพวกเขาก็สวดให้ผม เป็นทีมเดียวกัน เป็นเรื่องที่ดีมากในการเดินทางรอบโลกด้วยกัน เทียบกับตอนเป็นเด็ก ตอนเป็นวัยรุ่นเป็นช่วงที่ยากลำบากมากกว่าไหมคะ ตอนเด็กลำบากกว่าครับ แต่ตอนเป็นวัยรุ่น ผมเริ่มกังวลว่า ผมจะมีชีวิตแบบไหน ผมคงไม่มีงานทำ ผมคงไม่ได้ไม่ได้แต่งงาน คงไม่มีแผน และต่อให้มี ผมยังจับมือเธอไม่ได้เลย สิ่งเหล่านี้เริ่มมีเข้ามาในหัว เป็นช่วงอายุที่ทุกคนเริ่มออกเดท ผมเลยเริ่มคิดว่าผมจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตหรือไม่ ตอนอายุ 15 เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ที่ผมได้เจอกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์ จอห์น บทที่ 9 ชายคนหนึ่งเกิดมาตาบอดและไม่มีใครทราบว่า ทำไม่ถึงเกิดมาเป็นแบบนั้น พระเยซูตรัสว่าเป็นแบบนี้เพราะผลงานของพระเจ้า จะแสดงออกผ่านผู้ชายคนนี้ ผมเลยคิดว่า ถ้าพระเยซูมีแผนสำหรับคนตาบอด พระเจ้าก็คงมีแผนให้ผม ผมคิดว่าถ้าพระองค์ไม่ให้แขนกับขาแก่ผม ผมทราบว่าพระองค์ทรงสร้างปาฏิหาริย์ ผมเก็บรองเท้าไว้ในตู้เสื้อผ้าคู่หนึ่ง เผื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ต่อให้พระองค์ไม่ทรงให้แขนและขาแก่ผม ผมสมบูรณ์แบบแล้ว ผมมีสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ และแขนและขาไม่สามารถให้ได้ เป้าหมาย ความกระตือรือร้น ความกล้าหาญ ความสงบ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตไม่ใช่สิ่งของแต่คือการรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง รู้จุดประสงค์ของตัวเอง นั่นคือตอนที่ผมอายุ 15 ครับ คุณรับมือกับคำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" และความโกรธยังไง คำถามที่ว่า ทำไมต้องเป็นผมเกิดขึ้นตอนอายุ 8-10 ขวบ ผมไม่เห็นสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ผมรู้สึกว่า ไม่มีจุดประสงค์อยู่เบื้องหลัง จุดมุ่งหมายนำมาซึ่งความกล้าหาญ ถ้าไม่รู้ว่าเราอยู่ที่นี่ทำไม ไม่สำคัญว่าคุณมีหรือไม่มีอะไร แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ทำไม ถ้าไม่มีการรับรู้ตรงนี้ คนก็อยู่ไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าชีวิตผมจะเป็นยังไง ผมอยากให้คนรู้ว่าเป็นการเดินทาง อยู่กันทีละวัน ตั้งเป้าหมายเล็กๆ สร้างความมั่นใจ คนรอบตัวผมให้กำลังใจผม รักผม พ่อแม่ผมมักพูดว่า ทำให้ดีที่สุด แล้วพระเจ้าจะทรงทำที่เหลือ นั่นช่วยผมได้มาก การสวดมนต์ พระคัมภีร์ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่า ความศรัทธาสำคัญมาก ถ้าไม่ศรัทธาในความหวัง คุณไม่เชื่อสิ่งที่มองไม่เห็น ถ้าคุณเชื่อเฉพาะสิ่งที่มองเห็นเท่านั้น คุณจะพลาดอะไรดีๆ เยอะเลยครับ ดูสิครับ ผมจะพลาดอะไรไปบ้าง ถ้าเชื่อเฉพาะในสิ่งที่เห็นตอนที่ผมเป็นเด็ก ความศรัทธา "FAITH"- Full Assurance In The Heart คุณเอาชนะได้ คุณสวยงามอย่างที่เป็น คุณไม่ใช่ความผิดพลาด คุณถูกสร้างมาเพื่อให้กำลังใจและรักคนอื่น คุณทราบตอนไหนคะว่าอยากจะเป็นนักพูดแนวให้กำลังใจ ตอนผมอายุ 17 ปี ภารโรงจะคุยกับผมทุกวัน คุยเกี่ยวกับทุกอย่าง เรื่องเพศ พระเจ้า ศาสนา ชีวิตเขาบอกว่าผมจะเป็นนักพูดสักวัน เขาบอกว่าผมจะเล่าเรื่องราวของตัวเอง ผมบอกว่าผมไม่มีเรื่องราวอะไรจะเล่า เขาบอกว่าผมมี เขาตื๊อผม 3 เดือนให้ไปพูดให้เด็กวัยรุ่น 10 คนฟัง สุดท้ายผมไป ผมพูด พวกเขาเริ่มร้องไห้ พวกเขาคงซึ้งมาก แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เชิญให้ไปพูดที่นั่นที่นี่ ผมไปพูดต่อหน้าเด็กวัยรุ่น 300 คนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ตอนผมอายุ 19 ผมไม่รู้จะพูดอะไร มือเหงื่อออก ขาสั่น แล้วผู้หญิงครึ่งห้องก็ร้องไห้ มีอยู่คนหนึ่งที่ยกมือขึ้นแล้วบอกว่า ขอโทษนะคะ ขออนุญาตไปกอดคุณบนเวทีได้ไหม ต่อหน้าทุกคน เธอขึ้นมากอดผมแล้วก็ร้องไห้ และพูดว่า ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ไม่เคยมีใครบอกว่ารักหนู

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...