สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยในใจของผม

แสดงความคิดเห็น

สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยในใจของผม

คำว่า “ในใจ” ผมหมายถึง...

-เป็นความทรงจำ

-เป็นสิ่งที่รัก

-เป็นความคาดหวัง

และเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง (อย่างกระชับ) เป็นตอนๆ ดังนี้

1. กำเนิดผู้นำ

 -บ้านผมอยู่พิษณุโลก ผมพิการด้วยโรคซูซูกิ แขนขาอ่อนแรงมาเป็นเวลา 4 ปีกว่าแล้ว ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเดินทาง(กึ่งหนีออกจากบ้าน) ไปเข้ารับการฝึกอาชีพที่ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการหยาดฝน จังหวัดเชียงใหม่ และผมได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานรุ่นที่ 7 เมื่อปี 2536

 -ผมเพิ่งได้พบ ได้เห็น ได้รู้จากที่ศูนย์ฯว่า มีคนพิการอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย และมีหลากหลายสภาพความพิการ ทั้งที่เดินได้และเดินไม่ได้ ทั้งที่ได้เรียนหนังสือและไม่ได้เรียน

 -ผมสอนหนังสือให้น้องๆที่อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ 7 คน ซึ่งพวกเขาตั้งใจเรียนรู้จนสามารถฝึกอาชีพต่อไปได้

 -ความคิดที่ว่า “ถ้าอยู่ไม่ได้ก็จะฆ่าตัวตายโดยจะไม่ให้ญาติพี่น้องเดือดร้อนแม้แต่เรื่องเผาศพ” ก็ค่อยๆหมดไป เมื่อผมรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าเมื่ออยู่กับคนพิการด้วยกัน

 -เพราะได้อ่านวารสาร “เพื่อนเชียงใหม่” ของกลุ่มคนพิการเชียงใหม่ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นแล้วเอาไปมอบให้ศูนย์ฯหยาดฝนจึงทำให้ผมได้รู้จักและโทรฯไปคุยกับ อ.พิพัฒน์ ประสาธสุวรรณ์ ซึ่งท่านแนะนำให้ผมได้รู้จัก(ทางโทรศัพท์)กับท่านพันโทต่อพงษ์ กุลครรชิต ซึ่งเป็นนายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยในขณะนั้น

 -อ.พิพัฒน์ ได้ให้ทุนผมเดินทางไปเข้าร่วมประชุมใหญ่สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยที่ จ.นครราชสีมา พร้อมกับเพื่อนคนพิการเชียงใหม่

 -ผมได้ลุกขึ้นแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่หมอไม่ยอมออกเอกสารรับรองความพิการว่า “หมอโง่” เพราะบอกว่า “คนเดินขาเป๋” เป็น “คนไม่พิการ” โดยหมอคิดเอาว่า “การใส่เสื้อผ้า การนั่งขี้ และการเดินขึ้นบันไดได้” เป็นข้อวินิจฉัยว่า “ไม่พิการ” ทั้งๆที่ในหมู่บ้านตัดสินและเรียกคนพวกนี้ว่า “ไอ้เป๋/อีเปลี้ย” และกลายเป็นคนที่เสียเปรียบทางสังคมไปแล้ว!

 -ผมมารู้ภายหลังตอนแยกประชุมแต่ละประเภทความพิการจาก อ.ณรงค์ ปฏิบัติสรกิจ อดีตนายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยคนแรก ว่า “ผู้อำนวยศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ” ร้องไห้บนเวทีด้วยคำพูดของผม!

 -ท่านพันโทต่อพงษ์ พูดว่า “วันนี้ผมดีใจที่ได้เห็นผู้นำคนพิการรุ่นใหม่ปรากฏตัวขึ้น สามารถแย่งไมค์มาจากเพื่อนคนพิการตาบอดได้” แต่ผมไม่ได้คิดว่าเป็นตัวเอง เพราะดูแต่ละคนเป็นผู้ยิ่งใหญ่มากๆ (ซึ่งหลายคนบอกว่าจำผมได้เป็นอย่างดีนับจากวันนั้น)

 -ในการประชุมครั้งนั้น ทำให้ผมได้รู้ว่า อ.ณรงค์ ป่วยด้วยโรคข้อกระดูกยึดติดทั้งตัว เมื่อนอนท่านก็จะนอนตัวแข็ง เมื่อลุกขึ้นท่านก็จะต้องยืนทันที นั่งไม่ได้ และถ้าทำงาน ท่านก็จะต้องยืนทั้งวัน ไปจนกว่าจะล้มตัวลงนอน เมื่อมองไปที่ขาของท่านเราจะเห็นเส้นเลือดขอดที่ข้อเท้าของท่านเป็นสีดำทั้ง 2 ข้าง และพันโทต่อพงษ์ เป็นอัมพาตทั้งตัว แขนขาอ่อนแรง มือขยับได้ แกว่งได้ แต่หยิบ จับ หรือกำไม่ได้ทั้งสองข้าง ต้องนั่งบนรถเข็นทั้งวันนับตั้งแต่ลุกจากที่นอน!

 -ท่านแนะนำให้ผมสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฯซึ่งต่อมาผมก็ได้สมัครและได้เป็นสมาชิกลำดับที่ 1327 และได้รับและอ่านวารสาร “สายสัมพันธ์” ของสมาคมฯนับจากนั้น

 -หลังจากที่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กันระยะหนึ่ง ท่านพันโทต่อพงษ์ ได้ให้เกียรติแก่กลุ่มเพื่อนคนพิการเชียงใหม่โดยการไปจัดอบรมสัมมนาเรื่องการก่อตั้งองค์กรของคนพิการ โดยคนพิการ เพื่อคนพิการ ที่โรงแรมเชียงใหม่ โดยผมมีส่วนนำคนพิการจากศูนย์ฯหยาดฝนเข้าร่วมงานด้วย

 -อีกไม่นานหลังจากนั้นก็ได้มีการก่อตั้ง “ชมรมคนพิการจังหวัดเชียงใหม่” ขึ้น โดยมีผมร่วมเป็นคณะกรรมการก่อตั้ง บุคคลสำคัญที่ผมจำชื่อได้คือคุณลำยอง และคุณอรพันธ์ กันนัย ซึ่งยังมีบทบาทสำคัญจนถึงปัจจุบัน.คุณนฤมล ผู้หญิงที่เล่นเทนนิสคนแรกของเชียงใหม่ (และยังมีคุณพยาบาล...จำชื่อไม่ได้แล้ว...ถ้าคุณลำยอง/อรพันธ์ ได้อ่านก็กรุณาเติมให้ด้วย)

 -แล้วผมก็เรียนจบหลักสูตร “จิ้มดีด” (มือข้างเดียว-เครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา) จากศูนย์ฯหยาดฝนในเดือนตุลาคม 2536 และได้เดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯกับโรงละครภัทราวดีเธียร์เตอร์ ของคุณภัทราวดี มีชูธน ในตำแหน่งผู้ช่วยประชาสัมพันธ์

 -ผมจะเดินทางไปที่สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย เพื่อเรียนรู้ และช่วยทำงานบ้างตามที่ได้รับมอบหมายจากท่านผู้พันฯ แต่ก็ไม่ได้ไปบ่อยๆ เพราะค่ารถแพงมาก ไป-กลับ 6-700 บาท ในแต่ละครั้ง

 -ผมจำได้ว่า ในครั้งแรกที่ไปสมาคมฯ ผมนั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งวังหลังมาขึ้นรถเมล์ ซึ่งวิ่งจากบางประกอกไปปากเกร็ด ที่ฝั่งท่าช้าง เมื่อรถมาถึง ผมก็ต้องรอให้ผู้โดยสารขึ้นรถไปให้หมดเสียก่อนแล้วผมจึงขึ้นเป็นคนสุดท้าย และเมื่อเท้าผมพ้นพื้นดิน รถเมล์กรุงเทพฯก็ออกตัวตัวตามสไตล์ ซึ่งทำให้ผมเซถลาเกือบตกรถ....และนั่นคือการขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของผม!!! ทุกท่านคงทราบแล้วว่า ผมเดินทางด้วยรถอะไร ทำไมจึงต้องจ่ายแพง!

 -ในเดือนสิงหาคม 2537 ท่านผู้พันฯได้จัดอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นำขึ้นที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งผมได้รับเชิญให้เข้ารับการฝึกอบรมด้วย ในขณะฝึกนั้น ผมได้รับบทบาทสมมุติให้เป็นประชาสงเคราะห์จังหวัด(พมจ.ในปัจจุบัน)และก็จบมาได้เป็น “ผู้นำคนพิการรุ่นที่ 1 สุรินทร์” นับตั้งแต่บัดนั้น

.........ใครจะแสดงความคิดเห็น/ซักถาม ก็ได้นะครับ..........

ที่มา: อรรถพล ขาวแจ่ม
วันที่โพสต์: 7/04/2556 เวลา 21:17:32

1 2456dan 12/07/2563 07:02:56

รับนวดนอกและในสถานที่0992399199

2 ถุย 13/07/2556 14:30:55

สมาคมอะไรก็เหมือนๆกันแหละ มีเพื่ออะไรไม่เคยเห็นจะทำอะไรเป็นประโยชน์กับคนพิการจริงๆจังๆสักที่

จุดประสงค์ก็แค่หาประโยชน์เข้าตัวทั้งนั้นควรยุบทิ้งให้หมดไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมสักอย่างมีแต่ชื่อและโลโก้ให้เกะกะ

3 ณรงค์ชัย ประธานราษกร์ 11/07/2556 10:49:27

คนพิตาบอดตาข้างเดียวถือว่าเป็นคนพิการหรือไม่ขอความคิดเห็น

4 อรรถพล ขาวแจ่ม 10/04/2556 13:07:27

สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยในใจของผม

9. เป็นอุปนายกฯสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย

 -จากเดือนมีนาคม 2544 ที่ผมหมดวาระจากการเป็นเลขาฯสมาคมฯ ผมก็กลับมาทำงานชมรมคนพิการพิษณุโลกและหารายได้เลี้ยงชีพด้วยการขายล็อตเตอรี่ อาชีพที่ผมไม่ชอบในตอนแรก จนมาถึงปี 2546 ผมก็เกิดปัญหาภรรยามีแฟนใหม่ ผมจึงเป็นเสมือนบุคคลไร้ความสามารถและประกาศลาออกจากการเป็นประธานชมรมคนพิการพิษณุโลก โดยคุณประสิทธิ์ จันทร์วิสิทธิ์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรมฯคนต่อไป

 -ถึงปี 2548 คุณประสิทธิ์ ขอลาออกจากประธานชมรมฯ คณะกรรมการก็ขอให้ผมกลับมารับตำแหน่งประธานฯต่อ ผมจึงก่อตั้ง สภาคนพิการทุกประเภทจังหวัดพิษณุโลก ขึ้นและขอให้คุณประสิทธิ์มารับเป็นประธานคนแรก และผมก็ขอจดทะเบียนเปลี่ยนชมรมฯ เป็นสมาคมคนพิการจังหวัดพิษณุโลกมาตั้งแต่นั้น

 -เมื่อนายพันตรี นายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย หมดวาระลง คุณศุภชีพ ก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมคนใหม่และเชิญผมให้เข้าร่วมเป็นกรรมการในตำแหน่งอุปนายกสมาคมฯด้วย ซึ่งผมก็ตกลงเพราะคุณศุภชีพรับปากว่าจะให้มีการก่อตั้งศูนย์ประสานงานสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยขึ้นทั้ง 4 ภาค โดยผมมีเหตุผลว่า...

1.สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย จะลงไปทำงานเองทั้ง 76 จังหวัดคงไม่ไหวและไม่สมควรทำ

2.เพื่อให้องค์กรเครือข่ายในแต่ละจังหวัดได้ออกกำลังกายคิดเอง พูดเอง ทำเอง เคลื่อนไหวเอง ทั้งด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนงาน และโครงการ ถ้าไม่ทำเองก็จะไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่มีความเข้มแข็ง

3.สิ่งที่สมาคมฯแห่งประเทศไทยควรทำคือ สนับสนุนวิชาการ สนับสนุนบุคลากร สนับสนุนเอกสารวิธีการ สนับสนุนงบประมาณ และไปร่วมให้กำลังเมื่อเขาจัดงานหรือไปร่วมแก้ไขเมื่อเขามีปัญหา

 -มีข้อเสนอที่มีความขัดแย้งอยู่ 1ข้อ ในเวทีแห่งนี้ คือ นายกฯคนใหม่เสนอให้ทุกจังหวัดไปจัดตั้งเป็น “สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยประจำจังหวัด...แล้วสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย(โดยนายกฯศุภชีพ)จะให้เงินสนับสนุนจังหวัดละ 10,000 บาท ผมบอกว่ามันทำได้ยากทั้งการบริหารจัดการ, การเงินการบัญชี, และการเคลื่อนไหวภายในจังหวัดแต่ใช้ชื่อ “แห่งประเทศไทย”

 -มีการจัดตั้งคณะกรรมการศูนย์ประสานงานสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ขึ้นทั้ง 4 ภาค โดยผมเป็นประธานภาคเหนือ แต่ไม่ได้รับเงินบริหาร จนกระทั่งผ่านไป 8 เดือน จึงมีการโอนเงินมาให้ 30,000 บาท(สามหมื่นบาทถ้วน) (แต่คนให้ชอบเอาไปพูดว่า 50,000 บาท) เมื่อประชุมคณะกรรมการผมก็จ่ายเบี้ยประชุมให้คนละ 300 บาท ค่าน้ำมันตามระยะทาง เมื่อท่านนายกฯลงพื้นที่ผมก็ใช้เงินนี้เลี้ยงต้อนรับ เมื่อไปอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ผมก็ใช้งบนี้เติมน้ำมันให้รถที่ไป 3 คัน เงินมันก็หมด คิดว่าจะได้การสนับสนุนอีกแต่ไม่มีมาอีกเลย ดังนั้น การบริหารศูนย์ประสานงานฯภาค จึงล้มเหลวเพราะขาดงบประมาณ

 -6 ปีต่อมาผมจึงได้ข่าวว่ามีผู้ไปจดทะเบียน “สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยจังหวัด....ได้ 2 จังหวัด และ นายกฯสมาคม 1 ใน 2 จังหวัดนั้นโทรศัพท์มาบอกผมเองว่าทำงาน-เคลื่อนไหวในนามแห่งประเทศไทยในจังหวัดไม่ได้จริงๆ!

 -ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯด้วยการขับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ จะไปเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารสมาคมฯแห่งประเทศไทย เพื่อวางแผนการจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2551 ที่จังหวัดกระบี่ แต่รถผมหม้อน้ำพังเมื่อถึงเขตอุตสาหกรรมนวนคร จึงได้จ้างช่างลากรถเข้าไปซ่อมที่ร้านในเขตนวนคร โดยมีคุณชูเกียรติ สิงห์สูง แวะเข้าไปเยี่ยมตามที่ผมโทรเล่าให้ฟังและฝากแจ้งที่ประชุมให้ทราบถึงปัญหาของผมด้วย และในตอนคืนวันนั้น ฝนตกหนักมากผมมองไม่เห็นว่าเป็นพื้นต่างระดับที่อยู่ในน้ำ เมื่อผมก้าวเดินลงไป ทำให้ผมล้มหัวฟาดกับพื้นหัวแตกเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก ช่างจึงพาผมไปส่งที่โรงพยาบาลนวนคร ให้หมอเย็บ 4 เข็ม ต้องนอนที่นั่น 4 คืน จึงกลับบ้านพิษณุโลกได้ งานนี้ผมมีบาดแผลทั้งที่หัว และที่กระเป๋าสตังค์ที่ทำเงินขาดหายไปเกือบ 7 หมื่นบาท(ยกเครื่องใหม่ไปซื้อได้ที่ จ.สระบุรี) ใน 4 คืนนั้นผมคิดมากว่า “ผมสมควรจะเป็นผู้บริหารสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยต่อไปหรือไม่?” และ 7 หมื่นบาทมันส่งผลให้ผมต้องเป็นหนี้มาจนถึงปัจจุบัน!

5 อรรถพล ขาวแจ่ม 10/04/2556 13:06:24

สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยในใจของผม

8. ขับไล่นายพันให้พ้นจากการเป็นนายกฯ

 -ผมได้รับสำเนาเอกสารแสดงสถานะการใช้จ่ายเงินของนายพันตรีนายกสมาคมฯ ว่ามีการอนุมัติเป็นเงินเดือนให้ตัวเองและภรรยาเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นบาท และคนส่งเอกสารให้ผมก็บอกให้ผมเข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2545 เพื่อขับไล่นายกสมาคมฯและเพื่อปกป้องสมาคมฯไปพร้อมกันด้วย

 -คณะกรรมการบริหารสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ในช่วงที่นายศุภชีพเป็นนายกฯนั้น แทบจะไม่เบิกเงินเกินกว่าค่าเดินทาง ค่าที่พัก ตามจริงเลย และผมเป็นคนพูดคนแรกเองว่า “ทำงานด้านคนพิการทำไปร้องให้ไป” เพราะมันไม่มีรายได้ แถมยังจ่ายเงินตัวเองอีก พอเห็นเอกสาร(ก็คงเป็นกรรมการในสมาคมฯนั่นแหละเอาออกมา) ก็คิดว่า “โอ้โห ! เอากันอย่างนี้เชียวหรือ ต้องไปร่วมกับเขาแล้วละ”

 -การประชุมใหญ่จัดขึ้นที่ศาลาประชาคมจังหวัดนนทบุรี ในวันนั้นมีสมาชิกเข้าประชุมเยอะมาก มากกว่าการประชุมที่ศูนย์กีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงเสียอีก และประมาณ 1 ใน 5 ของสมาชิกในวันนั้นเป็นทหารผ่านศึกพิการ

 -เมื่อเริ่มการแถลงผลการปฏิบัติงานของสมาคมฯก็มีสมาชิกยกมือขึ้นถามแล้วก็ลามไปถึงเรื่องตั้งเงินเดือนให้ตัวเองและภรรยาตามเอกสารที่ถูกแจกจ่ายไปทั่ว จนการประชุมไม่สามารถดำเนินต่อไป ซึ่งผมเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นไปขอไมค์และเดินไปพูดติดกับโต๊ะกรรมการที่แถลงผลงานอยู่ ผมชี้ให้เห็นเป็นข้อๆว่ามันผิด ไม่มีใครเขาเคยทำกัน มันผิด มันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง ไม่มีคุณธรรมอย่างไร สมาชิกที่เข้าร่วมประชุมก็โห่ฮา ตะโกนขับไล่รวมทั้งทหารผ่านศึกพิการซึ่งในตอนแรกผมคิดว่าเป็นฝ่ายของนายพันตรีนั่นด้วย

 -ในที่สุด นายพันตรีก็ยอมจำนน และประกาศลาออกกลางที่ประชุมใหญ่เมื่อตอนบ่ายแก่ๆ สมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมต่างก็ปรบมือดีใจกันสนั่นหวั่นไหวแล้วค่อยๆทยอยกันกลับบ้าน

 -เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระหว่างการกล่าวโจมตีจากคนหลายคน จากไมค์หลายอัน(ไม่รู้มาจากไหน) อย่างต่อเนื่องอยู่นั้น นายกฯนายพันตรีจะใช้โทรศัพท์ติดต่อพูดคุยอยู่กับใครบางคนที่พวกเรามองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา

 -ผมมาทราบภายหลังว่า นายพันตรีไม่ออกจากตำแห่งนายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยตามที่ประกาศไว้และยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งยังสามารถยกฐานะตนเองขึ้นไปเป็นประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยได้อีกด้วย

 -***มีข้อที่ควรคิดอยู่ 2 หรือ 3 ข้อ คือ

1. ขณะประชุมและนายกฯนายพันตรีประกาศลาออกนั้น มีแต่คนปรบมือแล้วก็รีบกลับบ้านแต่ไม่มีใครคิดกำหนดข้อปฏิบัติเพื่อให้การลาออกนั้นมีผลบังคับ

2. มีบารมีที่มองไม่เห็นคอยคุ้มครองป้องกันภัยให้นายกฯนายพันตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไป/หรือไม่?

หรือ 3. เป็นความใจกล้า หน้าด้าน ของท่านนายกฯเอง

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยในใจของผม คำว่า “ในใจ” ผมหมายถึง... -เป็นความทรงจำ -เป็นสิ่งที่รัก -เป็นความคาดหวัง และเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง (อย่างกระชับ) เป็นตอนๆ ดังนี้ 1. กำเนิดผู้นำ  -บ้านผมอยู่พิษณุโลก ผมพิการด้วยโรคซูซูกิ แขนขาอ่อนแรงมาเป็นเวลา 4 ปีกว่าแล้ว ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเดินทาง(กึ่งหนีออกจากบ้าน) ไปเข้ารับการฝึกอาชีพที่ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการหยาดฝน จังหวัดเชียงใหม่ และผมได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานรุ่นที่ 7 เมื่อปี 2536  -ผมเพิ่งได้พบ ได้เห็น ได้รู้จากที่ศูนย์ฯว่า มีคนพิการอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย และมีหลากหลายสภาพความพิการ ทั้งที่เดินได้และเดินไม่ได้ ทั้งที่ได้เรียนหนังสือและไม่ได้เรียน  -ผมสอนหนังสือให้น้องๆที่อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ 7 คน ซึ่งพวกเขาตั้งใจเรียนรู้จนสามารถฝึกอาชีพต่อไปได้  -ความคิดที่ว่า “ถ้าอยู่ไม่ได้ก็จะฆ่าตัวตายโดยจะไม่ให้ญาติพี่น้องเดือดร้อนแม้แต่เรื่องเผาศพ” ก็ค่อยๆหมดไป เมื่อผมรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าเมื่ออยู่กับคนพิการด้วยกัน  -เพราะได้อ่านวารสาร “เพื่อนเชียงใหม่” ของกลุ่มคนพิการเชียงใหม่ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นแล้วเอาไปมอบให้ศูนย์ฯหยาดฝนจึงทำให้ผมได้รู้จักและโทรฯไปคุยกับ อ.พิพัฒน์ ประสาธสุวรรณ์ ซึ่งท่านแนะนำให้ผมได้รู้จัก(ทางโทรศัพท์)กับท่านพันโทต่อพงษ์ กุลครรชิต ซึ่งเป็นนายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยในขณะนั้น  -อ.พิพัฒน์ ได้ให้ทุนผมเดินทางไปเข้าร่วมประชุมใหญ่สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยที่ จ.นครราชสีมา พร้อมกับเพื่อนคนพิการเชียงใหม่  -ผมได้ลุกขึ้นแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่หมอไม่ยอมออกเอกสารรับรองความพิการว่า “หมอโง่” เพราะบอกว่า “คนเดินขาเป๋” เป็น “คนไม่พิการ” โดยหมอคิดเอาว่า “การใส่เสื้อผ้า การนั่งขี้ และการเดินขึ้นบันไดได้” เป็นข้อวินิจฉัยว่า “ไม่พิการ” ทั้งๆที่ในหมู่บ้านตัดสินและเรียกคนพวกนี้ว่า “ไอ้เป๋/อีเปลี้ย” และกลายเป็นคนที่เสียเปรียบทางสังคมไปแล้ว!  -ผมมารู้ภายหลังตอนแยกประชุมแต่ละประเภทความพิการจาก อ.ณรงค์ ปฏิบัติสรกิจ อดีตนายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยคนแรก ว่า “ผู้อำนวยศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ” ร้องไห้บนเวทีด้วยคำพูดของผม!  -ท่านพันโทต่อพงษ์ พูดว่า “วันนี้ผมดีใจที่ได้เห็นผู้นำคนพิการรุ่นใหม่ปรากฏตัวขึ้น สามารถแย่งไมค์มาจากเพื่อนคนพิการตาบอดได้” แต่ผมไม่ได้คิดว่าเป็นตัวเอง เพราะดูแต่ละคนเป็นผู้ยิ่งใหญ่มากๆ (ซึ่งหลายคนบอกว่าจำผมได้เป็นอย่างดีนับจากวันนั้น)  -ในการประชุมครั้งนั้น ทำให้ผมได้รู้ว่า อ.ณรงค์ ป่วยด้วยโรคข้อกระดูกยึดติดทั้งตัว เมื่อนอนท่านก็จะนอนตัวแข็ง เมื่อลุกขึ้นท่านก็จะต้องยืนทันที นั่งไม่ได้ และถ้าทำงาน ท่านก็จะต้องยืนทั้งวัน ไปจนกว่าจะล้มตัวลงนอน เมื่อมองไปที่ขาของท่านเราจะเห็นเส้นเลือดขอดที่ข้อเท้าของท่านเป็นสีดำทั้ง 2 ข้าง และพันโทต่อพงษ์ เป็นอัมพาตทั้งตัว แขนขาอ่อนแรง มือขยับได้ แกว่งได้ แต่หยิบ จับ หรือกำไม่ได้ทั้งสองข้าง ต้องนั่งบนรถเข็นทั้งวันนับตั้งแต่ลุกจากที่นอน!  -ท่านแนะนำให้ผมสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฯซึ่งต่อมาผมก็ได้สมัครและได้เป็นสมาชิกลำดับที่ 1327 และได้รับและอ่านวารสาร “สายสัมพันธ์” ของสมาคมฯนับจากนั้น  -หลังจากที่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กันระยะหนึ่ง ท่านพันโทต่อพงษ์ ได้ให้เกียรติแก่กลุ่มเพื่อนคนพิการเชียงใหม่โดยการไปจัดอบรมสัมมนาเรื่องการก่อตั้งองค์กรของคนพิการ โดยคนพิการ เพื่อคนพิการ ที่โรงแรมเชียงใหม่ โดยผมมีส่วนนำคนพิการจากศูนย์ฯหยาดฝนเข้าร่วมงานด้วย  -อีกไม่นานหลังจากนั้นก็ได้มีการก่อตั้ง “ชมรมคนพิการจังหวัดเชียงใหม่” ขึ้น โดยมีผมร่วมเป็นคณะกรรมการก่อตั้ง บุคคลสำคัญที่ผมจำชื่อได้คือคุณลำยอง และคุณอรพันธ์ กันนัย ซึ่งยังมีบทบาทสำคัญจนถึงปัจจุบัน.คุณนฤมล ผู้หญิงที่เล่นเทนนิสคนแรกของเชียงใหม่ (และยังมีคุณพยาบาล...จำชื่อไม่ได้แล้ว...ถ้าคุณลำยอง/อรพันธ์ ได้อ่านก็กรุณาเติมให้ด้วย)  -แล้วผมก็เรียนจบหลักสูตร “จิ้มดีด” (มือข้างเดียว-เครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา) จากศูนย์ฯหยาดฝนในเดือนตุลาคม 2536 และได้เดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯกับโรงละครภัทราวดีเธียร์เตอร์ ของคุณภัทราวดี มีชูธน ในตำแหน่งผู้ช่วยประชาสัมพันธ์  -ผมจะเดินทางไปที่สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย เพื่อเรียนรู้ และช่วยทำงานบ้างตามที่ได้รับมอบหมายจากท่านผู้พันฯ แต่ก็ไม่ได้ไปบ่อยๆ เพราะค่ารถแพงมาก ไป-กลับ 6-700 บาท ในแต่ละครั้ง  -ผมจำได้ว่า ในครั้งแรกที่ไปสมาคมฯ ผมนั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งวังหลังมาขึ้นรถเมล์ ซึ่งวิ่งจากบางประกอกไปปากเกร็ด ที่ฝั่งท่าช้าง เมื่อรถมาถึง ผมก็ต้องรอให้ผู้โดยสารขึ้นรถไปให้หมดเสียก่อนแล้วผมจึงขึ้นเป็นคนสุดท้าย และเมื่อเท้าผมพ้นพื้นดิน รถเมล์กรุงเทพฯก็ออกตัวตัวตามสไตล์ ซึ่งทำให้ผมเซถลาเกือบตกรถ....และนั่นคือการขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของผม!!! ทุกท่านคงทราบแล้วว่า ผมเดินทางด้วยรถอะไร ทำไมจึงต้องจ่ายแพง!  -ในเดือนสิงหาคม 2537 ท่านผู้พันฯได้จัดอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นำขึ้นที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งผมได้รับเชิญให้เข้ารับการฝึกอบรมด้วย ในขณะฝึกนั้น ผมได้รับบทบาทสมมุติให้เป็นประชาสงเคราะห์จังหวัด(พมจ.ในปัจจุบัน)และก็จบมาได้เป็น “ผู้นำคนพิการรุ่นที่ 1 สุรินทร์” นับตั้งแต่บัดนั้น .........ใครจะแสดงความคิดเห็น/ซักถาม ก็ได้นะครับ..........

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...

ห้องกระทู้