อย่าให้ต้องเสียเลือดเนื้อกันอีก
บ้านเมืองกำลังเข้าสู่วิกฤติทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษใช้เวลาในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยแบบลากยาวข้ามวันข้ามคืนถึง 19 ชั่วโมง ก่อนลงมติเห็นชอบผ่านวาระ 2 และ 3 เมื่อยามผีโม่แป้งแบบรวบรัดด้วยคะแนนเสียง 310 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากกระแสสังคมที่ต้องการนำคนที่สั่งฆ่าประชาชนมาลง โทษ แต่กลับนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่มีความผิดคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภาในราวกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ก็เตรียมที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสกัดกั้นเป็นขั้นตอนตาม ลำดับ
ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างฉบับของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นการดูถูกกระบวนการยุติธรรมและสถาบันศาลทุกศาล ที่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ เนื่องจากมีวาระซ่อนเร้นในการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการฝ่ายนิติบัญญัติโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายแสดงความ คิดเห็น จึงไม่มีความชอบธรรม ขัดหลักนิติรัฐนิติธรรม และประชาธิปไตยถือเป็นการท้าทายอำนาจประชาชน ซึ่งสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สอบถามความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรากฏว่าร้อยละ 57.63 ไม่เอาล้างผิด ร้อยละ 40.55 หนุนกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ลาออกมาทำม็อบ ร้อยละ 41.93 แนะเพื่อไทยเดินกฎหมายโปร่งใส
หลายองค์กรทั้งเอกชน ภาคประชาชน และพรรคการเมืองได้แสดงความไม่เห็นด้วยออกมาคัดค้านเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งมีการเรียกร้องสร้างแนวร่วมไปทั่วประเทศไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มคน เสื้อแดง แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยจากเดิมที่คนในสังคมเชื่ออะไรแล้วจะยึดมั่นในสิ่ง นั้น แต่คนไทยก็รู้จักแยกแยะถูกผิด มีเหตุมีผล หลายฝ่ายที่เคยสนับสนุนรัฐบาล ก็เริ่มไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการจึงได้ออกมาชุมนุม ถือเป็นจุดแข็งหรือด้านบวกของสังคมไทย ซึ่งเป็นความท้าทายแต่ไม่ใช่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง หากมีการนิรโทษกรรมผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ทำการทุจริตคอร์รัปชั่น บ้านเมืองคงไม่มีหลักยึดเหนี่ยว จะสร้างความเสียหายต่อหลักธรรมาภิบาลของประเทศเป็นอย่างมาก
สถานการณ์การเมืองในขณะนี้เริ่มตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด มีการปลุกระดมให้ตั้งเวทีชุมนุมหน้าศาลากลางเป็นการส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาล ทำให้ภาพหลอนความขัดแย้งของขั้วสีการเมืองในอดีตหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะขณะนี้การเมืองมาถึงยุคที่ทุกฝ่ายไม่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา ทุกพรรคการเมืองก็มีธงของตนเองที่จะไม่ประนีประนอม ปฏิเสธระบบนิติรัฐ จนทำให้สังคมเกิดความเป็นห่วงว่าความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นนั้นจะทำให้ องคาพยพของชาติถึงทางตันอีกครั้ง ภาคการเมือง สังคม โดยเฉพาะเศรษฐกิจซึ่งเปราะบางอยู่แล้วคงจะฟื้นตัวได้ลำบาก จึงอยากให้ทุกฝ่ายที่อยู่ในภาวะหลังพิงฝานี้ช่วยลดทิฐินำพาชาติในครรลองที่ ชอบธรรม อย่าต้องให้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีกเลย เพราะ 7 ปีที่ผ่านมาประเทศชาติบอบช้ำมามากพอแล้ว
ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20131103/171915.html (ขนาดไฟล์: 167)
( คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 5 พ.ย.56 )
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
กลุ่มประชาชนที่ร่วมประท้วงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุด บ้านเมืองกำลังเข้าสู่วิกฤติทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษใช้เวลาในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยแบบลากยาวข้ามวันข้ามคืนถึง 19 ชั่วโมง ก่อนลงมติเห็นชอบผ่านวาระ 2 และ 3 เมื่อยามผีโม่แป้งแบบรวบรัดด้วยคะแนนเสียง 310 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากกระแสสังคมที่ต้องการนำคนที่สั่งฆ่าประชาชนมาลง โทษ แต่กลับนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่มีความผิดคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภาในราวกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ก็เตรียมที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสกัดกั้นเป็นขั้นตอนตาม ลำดับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างฉบับของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นการดูถูกกระบวนการยุติธรรมและสถาบันศาลทุกศาล ที่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ เนื่องจากมีวาระซ่อนเร้นในการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการฝ่ายนิติบัญญัติโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายแสดงความ คิดเห็น จึงไม่มีความชอบธรรม ขัดหลักนิติรัฐนิติธรรม และประชาธิปไตยถือเป็นการท้าทายอำนาจประชาชน ซึ่งสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สอบถามความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรากฏว่าร้อยละ 57.63 ไม่เอาล้างผิด ร้อยละ 40.55 หนุนกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ลาออกมาทำม็อบ ร้อยละ 41.93 แนะเพื่อไทยเดินกฎหมายโปร่งใส หลายองค์กรทั้งเอกชน ภาคประชาชน และพรรคการเมืองได้แสดงความไม่เห็นด้วยออกมาคัดค้านเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งมีการเรียกร้องสร้างแนวร่วมไปทั่วประเทศไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มคน เสื้อแดง แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยจากเดิมที่คนในสังคมเชื่ออะไรแล้วจะยึดมั่นในสิ่ง นั้น แต่คนไทยก็รู้จักแยกแยะถูกผิด มีเหตุมีผล หลายฝ่ายที่เคยสนับสนุนรัฐบาล ก็เริ่มไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการจึงได้ออกมาชุมนุม ถือเป็นจุดแข็งหรือด้านบวกของสังคมไทย ซึ่งเป็นความท้าทายแต่ไม่ใช่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง หากมีการนิรโทษกรรมผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ทำการทุจริตคอร์รัปชั่น บ้านเมืองคงไม่มีหลักยึดเหนี่ยว จะสร้างความเสียหายต่อหลักธรรมาภิบาลของประเทศเป็นอย่างมาก สถานการณ์การเมืองในขณะนี้เริ่มตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด มีการปลุกระดมให้ตั้งเวทีชุมนุมหน้าศาลากลางเป็นการส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาล ทำให้ภาพหลอนความขัดแย้งของขั้วสีการเมืองในอดีตหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะขณะนี้การเมืองมาถึงยุคที่ทุกฝ่ายไม่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา ทุกพรรคการเมืองก็มีธงของตนเองที่จะไม่ประนีประนอม ปฏิเสธระบบนิติรัฐ จนทำให้สังคมเกิดความเป็นห่วงว่าความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นนั้นจะทำให้ องคาพยพของชาติถึงทางตันอีกครั้ง ภาคการเมือง สังคม โดยเฉพาะเศรษฐกิจซึ่งเปราะบางอยู่แล้วคงจะฟื้นตัวได้ลำบาก จึงอยากให้ทุกฝ่ายที่อยู่ในภาวะหลังพิงฝานี้ช่วยลดทิฐินำพาชาติในครรลองที่ ชอบธรรม อย่าต้องให้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีกเลย เพราะ 7 ปีที่ผ่านมาประเทศชาติบอบช้ำมามากพอแล้ว ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20131103/171915.html ( คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 5 พ.ย.56 )
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)