"ตระกูล" การเมืองยึดประเทศ
หากมีการ “ยุบสภา” ไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ก็ตาม การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกจำนวน 200 คน ตามกติกา ใหม่คงได้เห็นสภา “ผัว–เมีย” เป็นแน่แท้ ขณะเดียวกัน ก็จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากที่จะบวก ส.ว.ชุดใหม่จำนวนหนึ่งเข้าไปด้วย
ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะพรรคการเมือง ที่ได้เสียงข้างมากย่อมมีฐานการเมืองเดียวกับวุฒิสมาชิกอย่างแยกไม่ออก และผู้สมัคร ส.ว.ก็คงจะรวมอยู่หมู่เดียวกับ ส.ส.อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน ไม่
ว่าจะผัว-เมีย-พ่อ-แม่-ลูก หรือเครือญาติเครือข่ายก็เดินพาเหรดเข้าสู่สภา
เป็นการเมือง “ผูกขาด” อำนาจที่ชัดเจนกว่าปัจจุบัน
ตรงนี้แหละ จะทำให้กลายเป็น “เผด็จการรัฐสภา” เต็มรูปแบบ รัฐบาลจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ว่า ถึงเรื่องนี้แล้วก็มีเรื่องทำนองเดียวกัน เมื่อผลการศึกษาเรื่อง “ตระกูลการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในโลก” โดยนายสติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า พบว่าตระกูลการเมืองในประเทศไทย
มีสัดส่วนการยึดครองพื้นที่ทางการเมืองสูงกว่าประเทศอื่นๆทั่วโลก
เปรียบเทียบกับประเทศอื่นพบว่า ไทยมีสัดส่วนถึง 42% เม็กซิโก 40% ฟิลิปปินส์ 37% ญี่ปุ่น 33% อาร์เจนตินา 10% สหรัฐฯ 6%
แน่ นอนที่เป็นอันดับ 1 ก็คือ ตระกูล “ชินวัตร” ที่เป็นนายกฯไล่เรียงกันมา 3 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ แม้ไม่ใช่ชินวัตรโดยตรง แต่ก็เป็นเขยชินวัตร รวมทั้งภรรยาและลูกสาวก็เป็น ส.ส.
เรียกว่าเป็น “ก๊วนการเมือง” ที่กุมอำนาจการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง
นอก จากนั้น ถ้าแยกเป็นรายพรรคจะพบว่า เพื่อไทยเป็นตระกูลการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด 19 ตระกูล ประชาธิปัตย์ 17 ตระกูล ภูมิใจไทย 4 ตระกูล ชาติไทยพัฒนา 3 ตระกูล พลังชล 1 ตระกูล รักประเทศไทย 1 ตระกูล
ยังพบด้วยว่า พรรคชาติไทยพัฒนามีสัดส่วน ส.ส.ที่มีคนในตระกูลเดียวกันได้รับเลือกตั้งมาสูงสุด คิดเป็น 31.6% รองลงมาคือพลังชล 28.6% รักประเทศไทย 25% ประชาธิปัตย์ 22% ภูมิใจ–ไทย 17.6% เพื่อไทย 15.1%
ใครเป็นใครในตระกูลไหน น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว
และยังตอกย้ำด้วยว่า อิทธิพลและบทบาทของตระกูลการเมืองมิได้ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะลงสมัครในพื้นที่ไหนก็ตาม
นักการเมืองที่มีสายสัมพันธ์แบบตระกูลที่เคยเป็นนักธุรกิจมาก่อน น่าจะมีสัดส่วนสูงกว่านักการเมืองที่ไม่มีสายสัมพันธ์แบบตระกูล
สิ่งที่ต้องตามก็คือ สายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริงได้
ที่ เป็นอย่างนี้ก็เพราะเมื่อมีนักการเมืองแบบตระกูล ทุกอย่างก็จะตอบสนองผลประโยชน์ของพรรค ของคนในตระกูล พื้นที่ของคนในตระกูลเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถสนองตอบคนส่วนใหญ่ได้
หาก มองถึงสภาพปัญหาทางการเมืองของไทย แม้จะว่าด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่คนการเมืองที่เป็นนักการเมืองอาชีพมีคนอยู่เพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ที่กุมอำนาจบริหารประเทศสลับกันไป ทำให้ขาดความหลากหลาย
นี่คือจุดหนึ่งที่เป็นปัญหาของประเทศไทย
เพราะ เมื่อมีการเมืองกลายเป็นเรื่องของครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับอำนาจ การบริหารประเทศชาติที่เกือบจะผูกขาดมาตลอดก็จะทำให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบ และถ่วงดุล เพราะต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในเรื่องของ “ตระกูล” และ “การเมือง”
คำว่าสภา “ผัว–เมีย” จึงเป็นของแสลงสำหรับสังคมไทย...โดย“สายล่อฟ้า”
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/column/pol/gladai/376520
( ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 17 ต.ค.56 )
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
หากมีการ “ยุบสภา” ไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ก็ตาม การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกจำนวน 200 คน ตามกติกา ใหม่คงได้เห็นสภา “ผัว–เมีย” เป็นแน่แท้ ขณะเดียวกัน ก็จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากที่จะบวก ส.ว.ชุดใหม่จำนวนหนึ่งเข้าไปด้วย ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะพรรคการเมือง ที่ได้เสียงข้างมากย่อมมีฐานการเมืองเดียวกับวุฒิสมาชิกอย่างแยกไม่ออก และผู้สมัคร ส.ว.ก็คงจะรวมอยู่หมู่เดียวกับ ส.ส.อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน ไม่ ว่าจะผัว-เมีย-พ่อ-แม่-ลูก หรือเครือญาติเครือข่ายก็เดินพาเหรดเข้าสู่สภา เป็นการเมือง “ผูกขาด” อำนาจที่ชัดเจนกว่าปัจจุบัน ตรงนี้แหละ จะทำให้กลายเป็น “เผด็จการรัฐสภา” เต็มรูปแบบ รัฐบาลจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ว่า ถึงเรื่องนี้แล้วก็มีเรื่องทำนองเดียวกัน เมื่อผลการศึกษาเรื่อง “ตระกูลการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในโลก” โดยนายสติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า พบว่าตระกูลการเมืองในประเทศไทย มีสัดส่วนการยึดครองพื้นที่ทางการเมืองสูงกว่าประเทศอื่นๆทั่วโลก เปรียบเทียบกับประเทศอื่นพบว่า ไทยมีสัดส่วนถึง 42% เม็กซิโก 40% ฟิลิปปินส์ 37% ญี่ปุ่น 33% อาร์เจนตินา 10% สหรัฐฯ 6% แน่ นอนที่เป็นอันดับ 1 ก็คือ ตระกูล “ชินวัตร” ที่เป็นนายกฯไล่เรียงกันมา 3 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ แม้ไม่ใช่ชินวัตรโดยตรง แต่ก็เป็นเขยชินวัตร รวมทั้งภรรยาและลูกสาวก็เป็น ส.ส. เรียกว่าเป็น “ก๊วนการเมือง” ที่กุมอำนาจการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง นอก จากนั้น ถ้าแยกเป็นรายพรรคจะพบว่า เพื่อไทยเป็นตระกูลการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด 19 ตระกูล ประชาธิปัตย์ 17 ตระกูล ภูมิใจไทย 4 ตระกูล ชาติไทยพัฒนา 3 ตระกูล พลังชล 1 ตระกูล รักประเทศไทย 1 ตระกูล ยังพบด้วยว่า พรรคชาติไทยพัฒนามีสัดส่วน ส.ส.ที่มีคนในตระกูลเดียวกันได้รับเลือกตั้งมาสูงสุด คิดเป็น 31.6% รองลงมาคือพลังชล 28.6% รักประเทศไทย 25% ประชาธิปัตย์ 22% ภูมิใจ–ไทย 17.6% เพื่อไทย 15.1% ใครเป็นใครในตระกูลไหน น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว และยังตอกย้ำด้วยว่า อิทธิพลและบทบาทของตระกูลการเมืองมิได้ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะลงสมัครในพื้นที่ไหนก็ตาม นักการเมืองที่มีสายสัมพันธ์แบบตระกูลที่เคยเป็นนักธุรกิจมาก่อน น่าจะมีสัดส่วนสูงกว่านักการเมืองที่ไม่มีสายสัมพันธ์แบบตระกูล สิ่งที่ต้องตามก็คือ สายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริงได้ ที่ เป็นอย่างนี้ก็เพราะเมื่อมีนักการเมืองแบบตระกูล ทุกอย่างก็จะตอบสนองผลประโยชน์ของพรรค ของคนในตระกูล พื้นที่ของคนในตระกูลเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถสนองตอบคนส่วนใหญ่ได้ หาก มองถึงสภาพปัญหาทางการเมืองของไทย แม้จะว่าด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่คนการเมืองที่เป็นนักการเมืองอาชีพมีคนอยู่เพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ที่กุมอำนาจบริหารประเทศสลับกันไป ทำให้ขาดความหลากหลาย นี่คือจุดหนึ่งที่เป็นปัญหาของประเทศไทย เพราะ เมื่อมีการเมืองกลายเป็นเรื่องของครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับอำนาจ การบริหารประเทศชาติที่เกือบจะผูกขาดมาตลอดก็จะทำให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบ และถ่วงดุล เพราะต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในเรื่องของ “ตระกูล” และ “การเมือง” คำว่าสภา “ผัว–เมีย” จึงเป็นของแสลงสำหรับสังคมไทย...โดย“สายล่อฟ้า” ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/column/pol/gladai/376520 ( ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 17 ต.ค.56 )
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)