การเมืองแรง'องค์กร'หาช่องป้องตัวเอง
การเมืองแรง'องค์กร'ร้อนหาช่องป้องตัวเอง : ขยายปมร้อน โดยโอภาส บุญล้อม สมถวิล เทพสวัสดิ์
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ไม่ต่างกับ "เกมชิงไหวชิงพริบ" ในแง่ของกฎหมายโดยอาศัย "องค์กร" ที่เกี่ยวข้องจับโยงเป็นเกมการเมือง
ดูจากฟากฝั่งของพรรคเพื่อไทยที่ขณะนี้เริ่มจะเคลื่อนไหวเตรียมออกจดหมายเปิด ผนึกค้านอำนาจ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ที่รับคำร้องของส.ว.เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา
ต้องถือว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราครั้งนี้หัวเรือใหญ่คือ "พรรคเพื่อไทย" และ "ส.ว.อีกจำนวนหนึ่ง" ที่แยกกันยื่นแก้ไข เพื่อไม่ให้ขัดข้อกฎหมายเรื่องมีส่วนได้ส่วนเสียกับมาตราที่แก้ไข จนถูกโจมตีเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับสมยอม"
และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของส.ว.เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา 68 จนทำให้ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยและส.ว.ออกแถลงการณ์คัดค้านเรื่อง "อำนาจ" ของศาลรัฐธรรมนูญในการรับคำร้องดังกล่าว
ขณะที่มีส.ว.จำนวนหนึ่งถึงขั้นเตรียมยื่นถอดถอน เมื่อไม่พอใจการใช้อำนาจหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ภาพการเมืองในขณะนี้จึงเกิดภาพ "พรรคเพื่อไทย" ข้องใจการใช้อำนาจของ "ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ"
ส่วน "พรรคประชาธิปัตย์" ก็ข้องใจในการใช้อำนาจของ "กรมสอบสวนคดีพิเศษ" (ดีเอสไอ) ในการทำคดีที่เกี่ยวโยงกับพรรคประชาธิปัตย์โดยมองว่า ดีเอสไอกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม
ดังนั้น "องค์กร" หรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับ "คดีการเมือง" จึงต้องพยายามหาช่องทางกฎหมายเพื่อชี้ให้เห็นถึงการมีอำนาจและหน้าที่ในการ รับทำคดีดังกล่าว
เช่นกรณีของ "พรรคประชาธิปัตย์" ที่เผชิญอยู่กับคดีการบริจาคเงินเข้าพรรคที่เริ่มเข้าสู่ช่วงสำคัญอีกครั้ง หลังจากสภาปิดสมัยประชุมทำให้ส.ส.ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงทยอยเรียกส.ส.ประชาธิปัตย์ทั้งหมด 48 คน เข้ารับทราบข้อหากรณี "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" อดีตส.ว.ได้ร้องต่อดีเอสไอให้ตรวจสอบการบริจาคเงินเข้าพรรคประชาธิปัตย์ของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ใช้วิธีให้ "สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร" หักเงินเดือนส.ส.จากบัญชีเงินเดือน บริจาคเงินให้พรรคแทนการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมตามที่ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 กำหนด ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2551-2555
โดย "ดีเอสไอ" ได้ทยอยเรียกผู้ถูกกล่าวหาเข้าพบเพื่อแจ้งข้อหาเฉลี่ยวันละ 6 คน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา สำหรับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดีเอสไอจะเรียกเข้ารับทราบข้อหาเพิ่มเติมในวันที่ 2 พฤษภาคมนี้ หลังจากพบว่า "อภิสิทธิ์" ในช่วงเป็น "นายกรัฐมนตรี" ได้ให้ "สำนักนายกรัฐมนตรี" ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินเดือน ให้หักเงินเดือนจากบัญชีบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ "อภิสิทธิ์" ได้เข้ารับทราบข้อหากับดีเอสไอแล้วในฐานะส.ส.
ส่วนเหตุผลที่ "ดีเอสไอ" ดำเนินคดีกับส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องนี้โดยมองไปถึง "วิธีการการบริจาคเงิน" ให้พรรคการเมืองว่าต้องเคร่งครัดทำตามที่กฎหมายกำหนดจะใช้วิธีอื่นที่แตก ต่างออกไปไม่ได้
ดังนั้นเมื่อ พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 57 วรรคสอง ที่กำหนดว่าการบริจาคแก่พรรคการเมืองตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป จะต้องบริจาคโดยวิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงิน (แคชเชียร์เช็ค) หรือเช็คขีดคร่อมการบริจาคเงินแก่พรรคก็ต้องทำได้เพียง 2 วิธีนี้เท่านั้น "พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์" หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเทคนิคเปรียบเสมือนว่า ถ้าเขาบอกว่าออกจากบ้านต้องก้าวเท้าซ้ายก่อนแต่กลับไปก้าวเท้าขวาอย่างนี้ก็ ผิดทันที และการบริจาคเงินให้พรรคการเมืองต้องมีบันทึกการบริจาคเงินและแต่ละคนที่ บริจาคต้องเซ็นรับทราบในบันทึกการบริจาคและต้องมีการออกใบเสร็จให้คนบริจาค เป็นคนคนไป แต่กรณีของส.ส.ประชาธิปัตย์บริจาคเงินให้พรรคไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย เพราะใช้วิธีหักเงินเดือน ส.ส.มารวมๆ กันแล้วออกใบเสร็จในนาม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นยอดเงินรวมทั้งที่ก่อนหน้านี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดแต่กลับมาเปลี่ยนในภายหลัง และที่กฎหมายต้องการให้ออกใบเสร็จให้ผู้บริจาคเป็นคนคนไป ก็เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินบริจาคได้ง่าย
อย่างไรก็ตามในแง่มุมของดีเอสไอไม่ได้มองว่า ส.ส.หรือพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ใช้วิธีหักเงินเดือนส.ส.บริจาคเงินเข้าพรรคแทน ที่จะบริจาคโดยวิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมตามที่กฎหมาย กำหนดมาเป็นประเด็นหลัก
ขณะที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เคยออกแถลงการณ์ต่อสู้ข้อกล่าวหาโดยแย้งว่า
1.พรรคประชาธิปัตย์มีธรรมเนียมปฏิบัติมานานแล้วว่าส.ส.ของพรรคและผู้มี ตำแหน่งต่างๆ ของพรรคจะยินยอมสละเงินเดือนของตนเองเพื่อบริจาคเป็นเงินบำรุงให้กับพรรคประ ชาธิปัตย์โดยให้สภาผู้แทนราษฎรหักเงินเดือนของตนเองจ่ายเป็นค่าบำรุงพรรค เพื่อที่พรรคจะได้นำไปใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง
2.การจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.ของพรรคได้มอบอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎรสั่งจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมให้กับ พรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นการทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้การบริจาคเงินให้แก่พรรคการ เมืองเป็นไปโดยโปร่งใสและตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินบริจาคได้
3.การบริจาคเงินบำรุงพรรคการเมืองดังกล่าวได้ทำภายใต้การควบคุมขององค์กรที่ มีหน้าที่กำกับดูแลตลอดมาโดยในช่วงปี พ.ศ.2550-ปัจจุบัน พรรคได้รายงานการจ่ายเงินค่าบำรุงของ ส.ส.พรรคต่อกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)และนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามขั้นตอนของกฎหมายพ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 ตามความเป็นจริงและด้วยความโปร่งใสตลอดมา ซึ่งกกต. และนายทะเบียนได้รับทราบ และรับรองความถูกต้องของการจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองดังกล่าวของ ส.ส.มาโดยตลอด
4.ดีเอสไอไม่มีอำนาจทำคดีนี้เพราะเป็นอำนาจของ กกต.
ส่วน "กรรมการการเลือกตั้ง" (กกต.) โดย "สดศรี สัตยธรรม" ได้ให้ความเห็นว่า การหักเงินจากบัญชีเงินฝากที่มีการจ่ายเงินเดือน เพื่อบริจาคเงินให้พรรคการเมืองสามารถทำได้ เพราะว่าการหักเงินเดือนส.ส.จากบัญชีเงินฝากต้องไปผ่านวิธีการทางธนาคาร เพื่อถอนเงินออกมาซึ่งก็จะมีหลักฐานในการถอนเงินหรือหลักฐานทางธนาคารให้ เห็นอยู่แล้ว จึงเป็นไปตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองพ.ศ. 2550
แต่ประเด็นสำคัญที่ "พรรคประชาธิปัตย์" และ "ดีเอสไอ" เห็นต่างกันคือ ในเมื่อเป็นการทำผิดตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง ทำไม "ดีเอสไอ" จึงไม่ส่งเรื่องให้ "กกต." ดำเนินการ ขณะที่ "ดีเอสไอ" มองว่าเรื่องนี้ความผิดถือเป็นคดีอาญาไม่ใช่อำนาจของ กกต.
ดังนั้น "ดีเอสไอ" ซึ่งรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงต้องพยายามหาช่องของข้อกฎหมายเพื่ออ้างถึง "อำนาจ" ในการรับทำคดี ส่วนผลลัพธ์หลังส่งสำนวนให้อัยการส่งฟ้องต่อศาลจะออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับ อนาคต เวลานี้ "ดีเอสไอ" ต้องประคองตัวให้รอดปลอดภัยเอาไว้ก่อน
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
การเมืองแรง'องค์กร'ร้อนหาช่องป้องตัวเอง : ขยายปมร้อน โดยโอภาส บุญล้อม สมถวิล เทพสวัสดิ์ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ไม่ต่างกับ "เกมชิงไหวชิงพริบ" ในแง่ของกฎหมายโดยอาศัย "องค์กร" ที่เกี่ยวข้องจับโยงเป็นเกมการเมือง ดูจากฟากฝั่งของพรรคเพื่อไทยที่ขณะนี้เริ่มจะเคลื่อนไหวเตรียมออกจดหมายเปิด ผนึกค้านอำนาจ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ที่รับคำร้องของส.ว.เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ต้องถือว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราครั้งนี้หัวเรือใหญ่คือ "พรรคเพื่อไทย" และ "ส.ว.อีกจำนวนหนึ่ง" ที่แยกกันยื่นแก้ไข เพื่อไม่ให้ขัดข้อกฎหมายเรื่องมีส่วนได้ส่วนเสียกับมาตราที่แก้ไข จนถูกโจมตีเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับสมยอม" และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของส.ว.เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา 68 จนทำให้ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยและส.ว.ออกแถลงการณ์คัดค้านเรื่อง "อำนาจ" ของศาลรัฐธรรมนูญในการรับคำร้องดังกล่าว ขณะที่มีส.ว.จำนวนหนึ่งถึงขั้นเตรียมยื่นถอดถอน เมื่อไม่พอใจการใช้อำนาจหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ภาพการเมืองในขณะนี้จึงเกิดภาพ "พรรคเพื่อไทย" ข้องใจการใช้อำนาจของ "ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ" ส่วน "พรรคประชาธิปัตย์" ก็ข้องใจในการใช้อำนาจของ "กรมสอบสวนคดีพิเศษ" (ดีเอสไอ) ในการทำคดีที่เกี่ยวโยงกับพรรคประชาธิปัตย์โดยมองว่า ดีเอสไอกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น "องค์กร" หรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับ "คดีการเมือง" จึงต้องพยายามหาช่องทางกฎหมายเพื่อชี้ให้เห็นถึงการมีอำนาจและหน้าที่ในการ รับทำคดีดังกล่าว เช่นกรณีของ "พรรคประชาธิปัตย์" ที่เผชิญอยู่กับคดีการบริจาคเงินเข้าพรรคที่เริ่มเข้าสู่ช่วงสำคัญอีกครั้ง หลังจากสภาปิดสมัยประชุมทำให้ส.ส.ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงทยอยเรียกส.ส.ประชาธิปัตย์ทั้งหมด 48 คน เข้ารับทราบข้อหากรณี "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" อดีตส.ว.ได้ร้องต่อดีเอสไอให้ตรวจสอบการบริจาคเงินเข้าพรรคประชาธิปัตย์ของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ใช้วิธีให้ "สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร" หักเงินเดือนส.ส.จากบัญชีเงินเดือน บริจาคเงินให้พรรคแทนการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมตามที่ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 กำหนด ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2551-2555 โดย "ดีเอสไอ" ได้ทยอยเรียกผู้ถูกกล่าวหาเข้าพบเพื่อแจ้งข้อหาเฉลี่ยวันละ 6 คน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา สำหรับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดีเอสไอจะเรียกเข้ารับทราบข้อหาเพิ่มเติมในวันที่ 2 พฤษภาคมนี้ หลังจากพบว่า "อภิสิทธิ์" ในช่วงเป็น "นายกรัฐมนตรี" ได้ให้ "สำนักนายกรัฐมนตรี" ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินเดือน ให้หักเงินเดือนจากบัญชีบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ "อภิสิทธิ์" ได้เข้ารับทราบข้อหากับดีเอสไอแล้วในฐานะส.ส. ส่วนเหตุผลที่ "ดีเอสไอ" ดำเนินคดีกับส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องนี้โดยมองไปถึง "วิธีการการบริจาคเงิน" ให้พรรคการเมืองว่าต้องเคร่งครัดทำตามที่กฎหมายกำหนดจะใช้วิธีอื่นที่แตก ต่างออกไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อ พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 57 วรรคสอง ที่กำหนดว่าการบริจาคแก่พรรคการเมืองตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป จะต้องบริจาคโดยวิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงิน (แคชเชียร์เช็ค) หรือเช็คขีดคร่อมการบริจาคเงินแก่พรรคก็ต้องทำได้เพียง 2 วิธีนี้เท่านั้น "พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์" หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเทคนิคเปรียบเสมือนว่า ถ้าเขาบอกว่าออกจากบ้านต้องก้าวเท้าซ้ายก่อนแต่กลับไปก้าวเท้าขวาอย่างนี้ก็ ผิดทันที และการบริจาคเงินให้พรรคการเมืองต้องมีบันทึกการบริจาคเงินและแต่ละคนที่ บริจาคต้องเซ็นรับทราบในบันทึกการบริจาคและต้องมีการออกใบเสร็จให้คนบริจาค เป็นคนคนไป แต่กรณีของส.ส.ประชาธิปัตย์บริจาคเงินให้พรรคไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย เพราะใช้วิธีหักเงินเดือน ส.ส.มารวมๆ กันแล้วออกใบเสร็จในนาม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นยอดเงินรวมทั้งที่ก่อนหน้านี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดแต่กลับมาเปลี่ยนในภายหลัง และที่กฎหมายต้องการให้ออกใบเสร็จให้ผู้บริจาคเป็นคนคนไป ก็เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินบริจาคได้ง่าย อย่างไรก็ตามในแง่มุมของดีเอสไอไม่ได้มองว่า ส.ส.หรือพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ใช้วิธีหักเงินเดือนส.ส.บริจาคเงินเข้าพรรคแทน ที่จะบริจาคโดยวิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมตามที่กฎหมาย กำหนดมาเป็นประเด็นหลัก ขณะที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เคยออกแถลงการณ์ต่อสู้ข้อกล่าวหาโดยแย้งว่า 1.พรรคประชาธิปัตย์มีธรรมเนียมปฏิบัติมานานแล้วว่าส.ส.ของพรรคและผู้มี ตำแหน่งต่างๆ ของพรรคจะยินยอมสละเงินเดือนของตนเองเพื่อบริจาคเป็นเงินบำรุงให้กับพรรคประ ชาธิปัตย์โดยให้สภาผู้แทนราษฎรหักเงินเดือนของตนเองจ่ายเป็นค่าบำรุงพรรค เพื่อที่พรรคจะได้นำไปใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง 2.การจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.ของพรรคได้มอบอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎรสั่งจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมให้กับ พรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นการทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้การบริจาคเงินให้แก่พรรคการ เมืองเป็นไปโดยโปร่งใสและตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินบริจาคได้ 3.การบริจาคเงินบำรุงพรรคการเมืองดังกล่าวได้ทำภายใต้การควบคุมขององค์กรที่ มีหน้าที่กำกับดูแลตลอดมาโดยในช่วงปี พ.ศ.2550-ปัจจุบัน พรรคได้รายงานการจ่ายเงินค่าบำรุงของ ส.ส.พรรคต่อกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)และนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามขั้นตอนของกฎหมายพ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 ตามความเป็นจริงและด้วยความโปร่งใสตลอดมา ซึ่งกกต. และนายทะเบียนได้รับทราบ และรับรองความถูกต้องของการจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองดังกล่าวของ ส.ส.มาโดยตลอด 4.ดีเอสไอไม่มีอำนาจทำคดีนี้เพราะเป็นอำนาจของ กกต. ส่วน "กรรมการการเลือกตั้ง" (กกต.) โดย "สดศรี สัตยธรรม" ได้ให้ความเห็นว่า การหักเงินจากบัญชีเงินฝากที่มีการจ่ายเงินเดือน เพื่อบริจาคเงินให้พรรคการเมืองสามารถทำได้ เพราะว่าการหักเงินเดือนส.ส.จากบัญชีเงินฝากต้องไปผ่านวิธีการทางธนาคาร เพื่อถอนเงินออกมาซึ่งก็จะมีหลักฐานในการถอนเงินหรือหลักฐานทางธนาคารให้ เห็นอยู่แล้ว จึงเป็นไปตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองพ.ศ. 2550 แต่ประเด็นสำคัญที่ "พรรคประชาธิปัตย์" และ "ดีเอสไอ" เห็นต่างกันคือ ในเมื่อเป็นการทำผิดตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง ทำไม "ดีเอสไอ" จึงไม่ส่งเรื่องให้ "กกต." ดำเนินการ ขณะที่ "ดีเอสไอ" มองว่าเรื่องนี้ความผิดถือเป็นคดีอาญาไม่ใช่อำนาจของ กกต. ดังนั้น "ดีเอสไอ" ซึ่งรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงต้องพยายามหาช่องของข้อกฎหมายเพื่ออ้างถึง "อำนาจ" ในการรับทำคดี ส่วนผลลัพธ์หลังส่งสำนวนให้อัยการส่งฟ้องต่อศาลจะออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับ อนาคต เวลานี้ "ดีเอสไอ" ต้องประคองตัวให้รอดปลอดภัยเอาไว้ก่อน ขอบคุณ http://www.komchadluek.net/detail/20130424/156796/การเมืองแรงองค์กรหาช่องป้องตัวเอง.html#.UXdJCEqkPZ4
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)