เพื่อไทยย่าง3ขุม 'สุมไฟ' การเมือง ทักษิณ
จะด้วยเพราะคุมเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จึงไม่แปลกประหลาดใจหากพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีเป็น “ศูนย์กลาง” ของการบังคับบัญชาจะเลือก “ผลักดัน” ความต้องการทางการเมืองผ่านระบบรัฐสภาโดยใช้ส.ส.ซึ่งเป็น “ตัวแทน” ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นหัวหอก
ดูรูปการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดปลายสมัยประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติที่ปิดสมัย ไปแล้วเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมาก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปนึกถึงระบบรัฐสภาในสมัยที่รัฐบาลพ. ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจและมากไปด้วยบารมีทางการเมือง กลไกการทำงานในระบบรัฐสภาก็เป็นแบบนี้ คือมีฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ไว้ค้านพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะสุดท้ายทุกความต้องการทางการเมืองล้วนผ่านฉลุยด้วย “เสียงข้างมาก” ของรัฐบาลทั้งสิ้น
การประกาศ “นับหนึ่งประเทศไทย” ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ผู้ปวารณาตัวว่าจะพาพ.ต.ท.ทักษิณ “กลับบ้าน” พูดไว้นั้น จึงไม่ใช่ความบังเอิญหากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์ใหญ่” ทางการเมืองที่ถูกวางไว้
ในสภาพปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการออกพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 มาตรา 3 ร่าง และการพยายาม “กินทีละคำ” อย่างการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้วนเหมือนกันคือใช้กลไกเสียงข้างมาก แม้ฝ่ายค้านจะใช้เทคนิคการประชุมอย่างไร ก็เป็นเพียงการประวิงเวลาเท่านั้น ขณะที่ “เป้าหมาย” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ชัดเจนขึ้นทุกวันว่าการเข้ามาเป็นรัฐบาลรอบนี้มุ่งหวังที่จะแก้ไข “กติกา” สูงสุดทางการเมืองอย่างรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ
ถ้าไม่ลืมกันไปเสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดไว้ว่า ’ผู้ใดกำหนดกติกา ผู้นั้นย่อมเป็นฝ่ายชนะ“
ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเพื่อ “ปูทาง” ไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือความพยายามให้มีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือ พ.ร.บ.ปรองดอง ล้วนเป็นการกำหนด “กติกาใหม่” ขึ้นมาทั้งสิ้น
มีข้อสงสัยว่าทำไมพรรคเพื่อไทยซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นรัฐบาล “ครบเทอม” ได้อย่างสบาย จึงเลือกผลักดันประเด็นทางการเมือง 3 ประเด็นร้อน ซึ่งล้วนแต่เป็น “ระเบิดเวลา” เข้าสู่สภา
ประการแรก พรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อในพลังทางการเมืองเสียงข้างมากที่ตัวเองได้รับมาจากประชาชน ยิ่งในสภาพทางการเมืองที่รัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่เสียความ เชื่อมั่นศรัทธายิ่งเป็นจังหวะทางการเมืองที่ต้องยิ่งลงมือทำ
ประการต่อมา ทุก “ปัจจัย” ทางการเมืองล้วนอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ อำนาจทุน มวลชนสนับสนุน
ประการสำคัญ คู่ต่อสู้ทางการเมืองทั้งในสภา ทั้งนอกสภา รวมตัวกันไม่ติด เกิดความอ่อนแอ ไม่เป็นเอกภาพ ขาดการรวมศูนย์ แต่เป็นลักษณะต่างคนต่างค้าน จึงขาดพลังและความร่วมมือจากประชาชน
เพราะทางสุดท้ายหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ก็เลือกที่จะ “ยุบสภา” แล้วกลับมาใหม่เพื่อแก้ไขในเรื่องที่ยัง “ค้างคา” ต่อไปได้อีก
คู่ต่อสู้ทางการเมืองในระบบปกติวันนี้มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ขณะที่พรรคการเมืองอื่นล้วนเป็นองค์ประกอบทางการเมืองเท่านั้น
วันนี้ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์อ่อนแอเกินกว่าจะเป็น “คู่ต่อสู้” ทางการเมืองในระยะเวลาอันสั้นนี้ การโยนความเรื่องการ “ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์” ที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคภาคกลางเสนอให้สังคมไทยได้ยินได้ฟัง จึงเป็นการปรับตัวเพื่อเตรียมต่อสู้ในสนามการเลือกตั้งซึ่งน่าจะเกิดขึ้นใน ระยะเวลาอันใกล้นี้ ไม่ใช่ 2 ปีกว่าตามเทอมของรัฐบาล
อย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ในสนามการเลือกตั้งใหญ่มาตลอด 20 ปี ใช่แต่ “ชัยชนะ” ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเท่านั้นจะทำให้พรรคเพื่อไทยพุ่งไปข้างหน้า ความพ่ายแพ้ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์จะยิ่งทำให้พรรคฝ่ายค้าน “ถดถอย” และอ่อนแรงเกินกว่าจะตรวจสอบถ่วงดุล
ขณะที่มวลชนอย่างกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือกลุ่มการเมืองอื่น ๆ ที่ยืนตรงข้ามกับอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย นับวันจะเงียบหายและไร้ซึ่งพลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมาซึ่งเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งแกนนำทั้งผู้สนับสนุนล้วนถูกคดีความติดตัวกันเป็นหางว่าว และนับวันจะถูกโดดเดี่ยว
ถึงวันนี้ที่พรรคเพื่อไทย “เลื่อน” การพิจารณาร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรมมาไว้ในลำดับแรกเพื่อรอพิจารณาในการเปิดสภาสมัยสามัญทั่วไปในวัน ที่ 1 ส.ค.หรือในอีก 3 เดือนข้างหน้า เสียงคัดค้านและไม่เอาด้วยกับการลบล้างความผิดจึงน้อยลงและแผ่วเบายิ่ง
จะมี “แนวต้าน” ที่พรรคเพื่อไทยมองว่า น่าจะเป็นแนวรบสำคัญซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อว่านี่คือ “กับดัก” ที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้วางไว้นั่นคือ องค์กรอิสระทางการเมือง อย่าง ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รายมาตรา” หรือแม้แต่การผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือพ.ร.บ.ปรองดอง ที่สุดแล้วเมื่อมีความเห็นต่างในข้อกฎหมาย ก็ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ “วินิจฉัย” ทั้งสิ้น
การไม่ยอมรับอำนาจในการรับเรื่องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมนูญที่ทั้งส.ส.และส.ว.ที่ลงชื่อเสนอแก้ไขออกแถลงการณ์ร่วมกัน นั้น จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด เพราะนี่กำลังจะเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง “เสียงข้างมาก” ของฝ่ายนิติบัญญัติกับศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นความพยายามทางการเมืองใน 3 ประเด็นร้อนของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ จึงมีศาลรัฐธรรมนูญเป็น “ปราการด่านสุดท้าย”
พรรคเพื่อไทยเดินหน้าไม่ยอมถอย ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณาแล้วย่อมต้องมีคำวินิจฉัย
ที่เห็นและเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ แค่จุดเริ่มต้นของ “ความวุ่นวาย” ทางการเมืองเท่านั้น ไม่เชื่อต้องติดตามกันดู.
ขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/politics/198593 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
จะด้วยเพราะคุมเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จึงไม่แปลกประหลาดใจหากพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีเป็น “ศูนย์กลาง” ของการบังคับบัญชาจะเลือก “ผลักดัน” ความต้องการทางการเมืองผ่านระบบรัฐสภาโดยใช้ส.ส.ซึ่งเป็น “ตัวแทน” ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นหัวหอก ดูรูปการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดปลายสมัยประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติที่ปิดสมัย ไปแล้วเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมาก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปนึกถึงระบบรัฐสภาในสมัยที่รัฐบาลพ. ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจและมากไปด้วยบารมีทางการเมือง กลไกการทำงานในระบบรัฐสภาก็เป็นแบบนี้ คือมีฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ไว้ค้านพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะสุดท้ายทุกความต้องการทางการเมืองล้วนผ่านฉลุยด้วย “เสียงข้างมาก” ของรัฐบาลทั้งสิ้น การประกาศ “นับหนึ่งประเทศไทย” ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ผู้ปวารณาตัวว่าจะพาพ.ต.ท.ทักษิณ “กลับบ้าน” พูดไว้นั้น จึงไม่ใช่ความบังเอิญหากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์ใหญ่” ทางการเมืองที่ถูกวางไว้ ในสภาพปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการออกพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 มาตรา 3 ร่าง และการพยายาม “กินทีละคำ” อย่างการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้วนเหมือนกันคือใช้กลไกเสียงข้างมาก แม้ฝ่ายค้านจะใช้เทคนิคการประชุมอย่างไร ก็เป็นเพียงการประวิงเวลาเท่านั้น ขณะที่ “เป้าหมาย” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ชัดเจนขึ้นทุกวันว่าการเข้ามาเป็นรัฐบาลรอบนี้มุ่งหวังที่จะแก้ไข “กติกา” สูงสุดทางการเมืองอย่างรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ถ้าไม่ลืมกันไปเสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดไว้ว่า ’ผู้ใดกำหนดกติกา ผู้นั้นย่อมเป็นฝ่ายชนะ“ ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเพื่อ “ปูทาง” ไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือความพยายามให้มีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือ พ.ร.บ.ปรองดอง ล้วนเป็นการกำหนด “กติกาใหม่” ขึ้นมาทั้งสิ้น มีข้อสงสัยว่าทำไมพรรคเพื่อไทยซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นรัฐบาล “ครบเทอม” ได้อย่างสบาย จึงเลือกผลักดันประเด็นทางการเมือง 3 ประเด็นร้อน ซึ่งล้วนแต่เป็น “ระเบิดเวลา” เข้าสู่สภา ประการแรก พรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อในพลังทางการเมืองเสียงข้างมากที่ตัวเองได้รับมาจากประชาชน ยิ่งในสภาพทางการเมืองที่รัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่เสียความ เชื่อมั่นศรัทธายิ่งเป็นจังหวะทางการเมืองที่ต้องยิ่งลงมือทำ ประการต่อมา ทุก “ปัจจัย” ทางการเมืองล้วนอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ อำนาจทุน มวลชนสนับสนุน ประการสำคัญ คู่ต่อสู้ทางการเมืองทั้งในสภา ทั้งนอกสภา รวมตัวกันไม่ติด เกิดความอ่อนแอ ไม่เป็นเอกภาพ ขาดการรวมศูนย์ แต่เป็นลักษณะต่างคนต่างค้าน จึงขาดพลังและความร่วมมือจากประชาชน เพราะทางสุดท้ายหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ก็เลือกที่จะ “ยุบสภา” แล้วกลับมาใหม่เพื่อแก้ไขในเรื่องที่ยัง “ค้างคา” ต่อไปได้อีก คู่ต่อสู้ทางการเมืองในระบบปกติวันนี้มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ขณะที่พรรคการเมืองอื่นล้วนเป็นองค์ประกอบทางการเมืองเท่านั้น วันนี้ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์อ่อนแอเกินกว่าจะเป็น “คู่ต่อสู้” ทางการเมืองในระยะเวลาอันสั้นนี้ การโยนความเรื่องการ “ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์” ที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคภาคกลางเสนอให้สังคมไทยได้ยินได้ฟัง จึงเป็นการปรับตัวเพื่อเตรียมต่อสู้ในสนามการเลือกตั้งซึ่งน่าจะเกิดขึ้นใน ระยะเวลาอันใกล้นี้ ไม่ใช่ 2 ปีกว่าตามเทอมของรัฐบาล อย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ในสนามการเลือกตั้งใหญ่มาตลอด 20 ปี ใช่แต่ “ชัยชนะ” ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเท่านั้นจะทำให้พรรคเพื่อไทยพุ่งไปข้างหน้า ความพ่ายแพ้ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์จะยิ่งทำให้พรรคฝ่ายค้าน “ถดถอย” และอ่อนแรงเกินกว่าจะตรวจสอบถ่วงดุล ขณะที่มวลชนอย่างกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือกลุ่มการเมืองอื่น ๆ ที่ยืนตรงข้ามกับอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย นับวันจะเงียบหายและไร้ซึ่งพลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมาซึ่งเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งแกนนำทั้งผู้สนับสนุนล้วนถูกคดีความติดตัวกันเป็นหางว่าว และนับวันจะถูกโดดเดี่ยว ถึงวันนี้ที่พรรคเพื่อไทย “เลื่อน” การพิจารณาร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรมมาไว้ในลำดับแรกเพื่อรอพิจารณาในการเปิดสภาสมัยสามัญทั่วไปในวัน ที่ 1 ส.ค.หรือในอีก 3 เดือนข้างหน้า เสียงคัดค้านและไม่เอาด้วยกับการลบล้างความผิดจึงน้อยลงและแผ่วเบายิ่ง จะมี “แนวต้าน” ที่พรรคเพื่อไทยมองว่า น่าจะเป็นแนวรบสำคัญซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อว่านี่คือ “กับดัก” ที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้วางไว้นั่นคือ องค์กรอิสระทางการเมือง อย่าง ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รายมาตรา” หรือแม้แต่การผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือพ.ร.บ.ปรองดอง ที่สุดแล้วเมื่อมีความเห็นต่างในข้อกฎหมาย ก็ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ “วินิจฉัย” ทั้งสิ้น การไม่ยอมรับอำนาจในการรับเรื่องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมนูญที่ทั้งส.ส.และส.ว.ที่ลงชื่อเสนอแก้ไขออกแถลงการณ์ร่วมกัน นั้น จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด เพราะนี่กำลังจะเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง “เสียงข้างมาก” ของฝ่ายนิติบัญญัติกับศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นความพยายามทางการเมืองใน 3 ประเด็นร้อนของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ จึงมีศาลรัฐธรรมนูญเป็น “ปราการด่านสุดท้าย” พรรคเพื่อไทยเดินหน้าไม่ยอมถอย ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณาแล้วย่อมต้องมีคำวินิจฉัย ที่เห็นและเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ แค่จุดเริ่มต้นของ “ความวุ่นวาย” ทางการเมืองเท่านั้น ไม่เชื่อต้องติดตามกันดู. ขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/politics/198593
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)