'บิ๊กตู่'สั่งเช็กคลังข้าว8ซ้ำ วอนขอเวลาทำงาน
นายกฯสั่งตั้งคกก.ตรวจคลังข้าว 8 คลังอีกรอบ ชี้ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ ยันไม่เพิกเฉยวอนขอเวลาทำงานบ้าง ขอแยกแยะจำนำข้าวกับปมเหมืองแร่ ยันสั่งยุติการทำงานเพื่อให้มีการตรวจสอบ
เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงกรณีการตรวจคลังข้าวสาร ว่า เรื่องคลังข้าวสาร 8 คลังตนได้สั่งการมาโดยตลอด ซึ่งองค์การคลังสินค้า(อคส.) เขาก็ไปตรวจสอบมาแล้วในชั้นต้นยังไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่จะสั่งให้ไปตรวจอีกครั้ง โดยจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบที่มีพล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ที่ปรึกษา (สบ.10) ผอ.สืบสวนสอบสวน เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งต้องไปตรวจสอบว่าเอาออกไปนอกคลังได้อย่างไร รวมถึงกระบวนการที่เอาออกจากคลังไปแล้วก็กำลังตรวจสอบอยู่ โดยจะทำให้เกิดความชัดเจนขึ้น ไม่เช่นนั้นตนก็จะมีปัญหาการเพิกเฉย
"วันนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กำลังประชุมเพื่อจะเตรียมมาตรการตรวจสอบอีกครั้ง จากที่อคส.ตรวจสอบไปแล้วและรายงานขึ้นมาก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติจากการดำเนินการขั้นตอนของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ก็ยังไม่พบ แต่ปลายทางจะว่าอย่างไรก็ต้องไปตรวจสอบย้อนหลังว่ามีการเปิดคลังเมื่อไร เพราะถือกุญแจไว้ตั้งสามสี่ดอกและข้าวจำนวนนี้เราก็รู้ว่ามีข้าวดีปนข้าวเสียอยู่ แต่ทั้งหมดจำเป็นต้องประมูลลงไปเพราะมันเสียค่าเช่าคลังจำนวนมาก ถ้าเกินร้อยละ 24 ก็จะต้องจำหน่ายเป็นข้าวอาหารสัตว์ แต่ตามกติกาไม่ว่าจะเป็นข้าวดีหรือข้าวเสียร้อยละ 24 ของคลัง ก็จะต้องไปโรงอาหารสัตว์เท่านั้น แต่การที่เอาออกไปข้าวนอก เอาออกไปได้อย่างไร ต้องไปหาคำตอบมา ฉะนั้นขอให้ฟังทางฝ่ายรัฐด้วย ผมไม่ได้เพิกเฉยเรื่องนี้ แต่ขอให้ได้ข้อสรุปชัดเจนก่อนและให้เวลาเขาได้ทำงานบ้าง”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว.
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ ของออสเตรเลีย เป็นผู้ร่วมทุนใหญ่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายทางธุรกิจมูลค่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 ล้านบาท ว่า ขออย่านำคดีรับจำนำข้าวมาเทียบกับเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นคนละเรื่องกัน และขออย่าลืมว่ากรณีของบริษัทอัครา รัฐบาลและ คสช.ทำเพราะมีการเรียกร้องจากประชาชน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องหยุดการทำงานเพื่อให้มีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่ามีผลอะไรหรือไม่ และยืนยันว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับประชาชนมากกว่า จะได้เงินหรือเสียเงิน เพราะหากไม่ดำเนินการก็จะไม่เกิดความชัดเจน รวมถึงเกิดการเรียกร้องเดินขบวน ซึ่งมองว่าเป็นคนละเรื่องกับคดีรับจำนำข้าวเพราะจำนำข้าวเป็นเรื่องของการทุจริตจึงขอให้แยกแยะด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและยังไม่ได้ตัดสินว่าใครผิดหรือถูก แต่หากเป็นเรื่อง กฏหมายระหว่างประเทศก็ต้องสู้คดีต่อไป ซึ่งหากมีการใช้มาตรา 44 ส่วนตัวไม่ต้องกลัวอะไรเพราะมาตรา 44 คุ้มครองตนเองอยู่แล้ว จึงขอให้แยกแยะว่าส่วนตัวทำเพื่อใคร แต่ยืนยันจะพยายามทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย.