ความอยาก
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร www.watdevaraj.com (ขนาดไฟล์: 167)
มนุษย์ ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ได้ เพราะอาศัยเหตุปัจจัยกล่าวคือ ตัณหา ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ตัณหาย่อมยังบุคคลให้เกิดได้ และนอกจากจะทำบุคคลให้เกิดขึ้นมาแล้ว ยังปกคลุมหุ้มห่อมนุษย์โลก ทำให้วุ่นวาย คิดประกอบกรรมทั้งดีและชั่ว
ตัณหา แปลว่า ความทะยานอยากดิ้นรน ทำบุคคลให้สะดุ้งหวั่นไหว ทำชั่วบ้างทำดีบ้าง คนที่มีทุกข์มากมาย ประสบแต่ความเดือดร้อน ก็เพราะตัณหานี้เอง ซึ่งมีอยู่ 3 ประการ คือ
1.กามตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากดิ้นรนค้นหา รูป เสียง เป็นต้น อันเป็นทั้งวัตถุกามและกิเลสกาม
2.ภวตัณหา หมายถึง ความอยากมีอยากเป็น คือ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้อันเป็นเรื่องดีและชั่ว
3.วิภวตัณหา หมายถึง ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เพราะมองเห็นทุกข์โทษ
บรรดา ตัณหาทั้ง 3 นั้น ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น นับว่าเป็นตัวสำคัญ ทำให้เกิดกามตัณหาและวิภวตัณหา ก่อกรรมทั้งดีและชั่วไม่มีที่สิ้นสุด คนที่ถูกตัณหาเข้าควบคุมครอบงำแล้ว เปรียบเสมือนคนตาบอด มองไม่เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นโทษ
ตัณหาความ อยากนี้ ถ้าอยากจะทำดี ทำประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดทุกข์แก่ใคร นับได้ว่าเป็นความทะยานอยากในฝ่ายดี เช่นอยากจะทำตนให้เป็นประโยชน์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับความสุข พ้นจากความทุกข์ ก็เป็นที่น่าสรรเสริญ ยกย่องบูชาได้
ทางพระ พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงเป็นสุเมธดาบสโพธิสัตว์ ได้พบพระทีปังกรพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เลื่อมใสพอใจในความเป็นพระพุทธเจ้า จึงปรารถนาอยากจะเป็นบ้าง ก็ริเริ่มประกอบกรรมดี มีบำเพ็ญทานบารมี เป็นต้น ในที่สุดก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สมความปรารถนาที่ตั้งไว้ อย่างนี้นับว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน แต่เป็นตัณหาในทางดี
ถ้า เป็นตัณหา ความทะยานอยากในทางประกอบกรรมทำความชั่ว ก่อทุกข์ให้เกิดทั้งแก่ตนและคนอื่น ก็จัดเป็นตัณหาในทางชั่ว เช่น โลภอยากได้สมบัติสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยการคดโกงหลอกลวง และการประพฤติผิดในสามีภรรยาผู้อื่น เป็นต้น จัดเป็นตัณหาในทางชั่วที่ร้ายแรง บุคคลจะละหรือบรรเทาให้เบาบางลงได้ ก็ต้องใช้คุณธรรมกล่าวคือ ศีล สมาธิ และปัญญา
บุคคลจะละ ตัณหาหรือบรรเทาตัณหาให้เบาบางจางลงไปได้ ก็ต้องพยายามรักษาศีล ฝึกสมาธิทำจิตใจให้สงบระงับและทำปัญญา ความรอบรู้ให้เข้าใจถูกต้องอย่างแท้จริง
คนที่มีศีลดี มีสมาธิดี และมีปัญญาดี จะไม่ประกอบกรรมทำชั่วโดยเด็ดขาด จะทำแต่ความดี ทำสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดทุกข์โทษทั้งแก่ตนและคนอื่น
ส่วน คนที่มีแต่ความยุ่งเหยิง เดือดร้อน เพราะขาดศีล สมาธิ และปัญญานั่นเอง จึงถูกตัณหาเข้าครอบงำ สร้างแต่บาปกรรมความชั่วไม่สิ้นสุด ผลสุดท้ายก็ได้รับทุกข์โทษทั้งในชาติปัจจุบันนี้และภพต่อไป
คน ที่มีปัญญาดี ควรพยายามบรรเทาตัณหาที่มีอยู่ให้ลดน้อยลง แล้วประกอบแต่คุณงามความดี ก็ย่อมจะทำประโยชน์ให้เกิดแก่ตนและคนอื่นได้ ถ้าแม้ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีคนเคารพบูชา
ละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็มีคนยกย่องสรรเสริญ
ข่าวสดออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 27 ก.ค.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร www.watdevaraj.com มนุษย์ ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ได้ เพราะอาศัยเหตุปัจจัยกล่าวคือ ตัณหา ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ตัณหาย่อมยังบุคคลให้เกิดได้ และนอกจากจะทำบุคคลให้เกิดขึ้นมาแล้ว ยังปกคลุมหุ้มห่อมนุษย์โลก ทำให้วุ่นวาย คิดประกอบกรรมทั้งดีและชั่ว ตัณหา แปลว่า ความทะยานอยากดิ้นรน ทำบุคคลให้สะดุ้งหวั่นไหว ทำชั่วบ้างทำดีบ้าง คนที่มีทุกข์มากมาย ประสบแต่ความเดือดร้อน ก็เพราะตัณหานี้เอง ซึ่งมีอยู่ 3 ประการ คือ 1.กามตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากดิ้นรนค้นหา รูป เสียง เป็นต้น อันเป็นทั้งวัตถุกามและกิเลสกาม 2.ภวตัณหา หมายถึง ความอยากมีอยากเป็น คือ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้อันเป็นเรื่องดีและชั่ว 3.วิภวตัณหา หมายถึง ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เพราะมองเห็นทุกข์โทษ บรรดา ตัณหาทั้ง 3 นั้น ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น นับว่าเป็นตัวสำคัญ ทำให้เกิดกามตัณหาและวิภวตัณหา ก่อกรรมทั้งดีและชั่วไม่มีที่สิ้นสุด คนที่ถูกตัณหาเข้าควบคุมครอบงำแล้ว เปรียบเสมือนคนตาบอด มองไม่เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นโทษ ตัณหาความ อยากนี้ ถ้าอยากจะทำดี ทำประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดทุกข์แก่ใคร นับได้ว่าเป็นความทะยานอยากในฝ่ายดี เช่นอยากจะทำตนให้เป็นประโยชน์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับความสุข พ้นจากความทุกข์ ก็เป็นที่น่าสรรเสริญ ยกย่องบูชาได้ ทางพระ พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงเป็นสุเมธดาบสโพธิสัตว์ ได้พบพระทีปังกรพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เลื่อมใสพอใจในความเป็นพระพุทธเจ้า จึงปรารถนาอยากจะเป็นบ้าง ก็ริเริ่มประกอบกรรมดี มีบำเพ็ญทานบารมี เป็นต้น ในที่สุดก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สมความปรารถนาที่ตั้งไว้ อย่างนี้นับว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน แต่เป็นตัณหาในทางดี ถ้า เป็นตัณหา ความทะยานอยากในทางประกอบกรรมทำความชั่ว ก่อทุกข์ให้เกิดทั้งแก่ตนและคนอื่น ก็จัดเป็นตัณหาในทางชั่ว เช่น โลภอยากได้สมบัติสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยการคดโกงหลอกลวง และการประพฤติผิดในสามีภรรยาผู้อื่น เป็นต้น จัดเป็นตัณหาในทางชั่วที่ร้ายแรง บุคคลจะละหรือบรรเทาให้เบาบางลงได้ ก็ต้องใช้คุณธรรมกล่าวคือ ศีล สมาธิ และปัญญา บุคคลจะละ ตัณหาหรือบรรเทาตัณหาให้เบาบางจางลงไปได้ ก็ต้องพยายามรักษาศีล ฝึกสมาธิทำจิตใจให้สงบระงับและทำปัญญา ความรอบรู้ให้เข้าใจถูกต้องอย่างแท้จริง คนที่มีศีลดี มีสมาธิดี และมีปัญญาดี จะไม่ประกอบกรรมทำชั่วโดยเด็ดขาด จะทำแต่ความดี ทำสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดทุกข์โทษทั้งแก่ตนและคนอื่น ส่วน คนที่มีแต่ความยุ่งเหยิง เดือดร้อน เพราะขาดศีล สมาธิ และปัญญานั่นเอง จึงถูกตัณหาเข้าครอบงำ สร้างแต่บาปกรรมความชั่วไม่สิ้นสุด ผลสุดท้ายก็ได้รับทุกข์โทษทั้งในชาติปัจจุบันนี้และภพต่อไป คน ที่มีปัญญาดี ควรพยายามบรรเทาตัณหาที่มีอยู่ให้ลดน้อยลง แล้วประกอบแต่คุณงามความดี ก็ย่อมจะทำประโยชน์ให้เกิดแก่ตนและคนอื่นได้ ถ้าแม้ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีคนเคารพบูชา ละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็มีคนยกย่องสรรเสริญ ขอบคุณ … http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOREkzTURjMU5nPT0=§ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE15MHdOeTB5Tnc9PQ== ข่าวสดออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 27 ก.ค.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)