โลกทัศน์แห่งความสุข(๘)สังขารแห่งความทุกข์

แสดงความคิดเห็น

แสงสีในความมืด

โลกทัศน์แห่งความสุข(๘)สังขารแห่งความทุกข์ : คันฉ่องและโคมฉาย โดย ว.วชิรเมธี

เจ้าหนูมองตาแป๋วแล้วก็โพล่งออกมาว่า ลุงไม่ใช่พ่อของผม เพราะว่าพ่อของผมตัวดำๆ หมายความว่าอย่างไร เขาตัวขาวแต่ลูกชายบอกว่าพ่อตัวดำๆ แล้วเจ้าหนูก็พูดประโยคต่อมา แล้วลุงรู้ไหมพ่อของผมชอบมาตอนกลางคืน เขาเริ่มคิดหนัก เจ้าหนูก็พูดต่อ พ่อชอบมาหาแม่มาตอนกลางคืน พอแม่เดินนะพ่อก็เดิน เขาก็คิดตามทุกคำพูด พอแม่นั่งนะพ่อก็นั่ง โอโหขนาดนั่งมันยังนั่งตาม เจ้าหนูพูดต่อไป พอแม่นอนนะพ่อผมก็นอนด้วย เท่านั้นเอง หัวใจของเขาซึ่งอ่อนโยนมานับแต่ได้เจอภรรยาและลูก ก็กลับตาลปัตรแข็งเป็นหินทันที

เขาได้บทสรุปแล้วว่า เจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้าเป็นลูกชู้ ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเป็นลูกใครแต่ชายหนุ่มได้บทสรุปแล้วว่านี่ไม่ใช่ ลูกของเขา แค้นสุดแค้น จนพอภรรยาสาวกลับมา เขาไม่สามารถช้อนตามองเธอได้อีกแล้ว เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงแนวหน้าแล้วเฝ้ารอเธอมาทั้งชีวิต ถนอมชีวิตไว้จะได้นำชีวิตกลับมาอยู่กินกับเธอ แต่เธออยู่แนวหลังแทนที่จะจงรักภักดีสามี กลับสวมเขาให้กับเขา สวมเขาให้แล้วยังไม่พอยังเอาลูกชู้มาหลอกเขาอีก เขาแค้นมาก

เขาไม่อาจช้อนหน้าขึ้นมองเธอได้อีกต่อไป เขาก้มหน้าลงต่ำเหมือนพระธุดงค์มองแต่พื้น แล้วตาเขาก็ปิดสนิท เขารู้สึกว่าเธอไม่มีศักดิ์ศรีไม่มีความสง่างามที่เขาจำเป็นจะต้องพูดด้วย

เมื่อภรรยากลับมา เห็นอาการของสามีเปลี่ยนไป เธอก็คิดในใจว่า ทหารเพิ่งกลับจากกองทัพสงสัยคงจะยังคุ้มดีคุ้มร้าย ช่างเถอะเธอก็เลยยื่นมือไปจับแขน พี่กลับบ้านเรา ชายหนุ่มสะบัดแขนหนี เธอคิดหนัก สงสัยนี้จะคุ้มร้ายคุ้มดี เมื่อกี้มันคุ้มดีคุ้มร้าย พอจะจับแขนไม่ให้จับนี่มันคุ้มร้ายคุ้มดี เธอยังมองโลกในแง่ดี ถ้าอย่างนั้นพี่ตามมาละกัน เธอเดินนำไปพร้อมกับลูก สามีเดินตาม สามคนแทนที่จะเดินเคียงก็เดินเรียง กลับถึงบ้านเธอรีบเข้าครัวทำอาหารมาจัดวางที่โต๊ะ ปรากฏว่าสามีไม่ยอมกินเขาเข้านอนแต่หัวค่ำ หน้าเธอเขายังไม่มอง เธอแปลกใจมาก จึงกินข้าวไม่ลงเช่นกัน

คืนนั้นทั้งคืนชายหนุ่มตะโกนถามหญิงสาวว่า ทำไมนอกใจฉัน หญิงสาวตะโกนถามชายหนุ่มว่า ทำไมพี่ไม่พูด มีอะไรทำไมพี่ไม่พูด ทว่าต่างก็ไม่มีใครได้ยินเพราะเป็นการตะโกนอยู่ในความคิด ปากของคนทั้งคู่ไม่มีใครเอาผ้ามาปิดไว้ แต่ถึงกระนั้นคนทั้งคู่ก็ไม่อาจที่จะเอ่ยปากพูด เพราะผู้หญิงก็คิดว่าทำไมฉันจะต้องพูดก่อน ฉันไม่ผิด ฝ่ายชายก็คิดว่า เธอไม่ควรที่จะได้ยินคำพูดจากเรา เพราะเธอเป็นหญิงโฉด

วันแรกผ่านไปด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจของทั้งสองฝ่าย หญิงสาวคิดว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้น ปรากฏว่าวันที่สองก็ไม่ดีขึ้น วันที่สามก็ไม่ดีขึ้น คนเราเมื่ออยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกันแต่ไม่พูดกัน ไม่มองหน้ากัน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเขาเรียกว่ายิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ ในที่สุดภรรยาทนพิษบาดแผลทางใจจากการป่วยด้วยโรคถูกมองไม่เห็นหัวไม่ไหว โรคอย่างนี้เขาเรียกว่าโรคศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์บกพร่อง มีตัวตนแต่อีกฝ่ายประเมินว่าเหมือนไม่มี

(ติดตามตอนต่อไปวันพระหน้า)

ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20130701/162256/โลกทัศน์แห่งความสุข(๘)สังขารแห่งความทุกข์.html#.UduFpaxHWzs (ขนาดไฟล์: 167)

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

แสงสีในความมืด โลกทัศน์แห่งความสุข(๘)สังขารแห่งความทุกข์ : คันฉ่องและโคมฉาย โดย ว.วชิรเมธี เจ้าหนูมองตาแป๋วแล้วก็โพล่งออกมาว่า ลุงไม่ใช่พ่อของผม เพราะว่าพ่อของผมตัวดำๆ หมายความว่าอย่างไร เขาตัวขาวแต่ลูกชายบอกว่าพ่อตัวดำๆ แล้วเจ้าหนูก็พูดประโยคต่อมา แล้วลุงรู้ไหมพ่อของผมชอบมาตอนกลางคืน เขาเริ่มคิดหนัก เจ้าหนูก็พูดต่อ พ่อชอบมาหาแม่มาตอนกลางคืน พอแม่เดินนะพ่อก็เดิน เขาก็คิดตามทุกคำพูด พอแม่นั่งนะพ่อก็นั่ง โอโหขนาดนั่งมันยังนั่งตาม เจ้าหนูพูดต่อไป พอแม่นอนนะพ่อผมก็นอนด้วย เท่านั้นเอง หัวใจของเขาซึ่งอ่อนโยนมานับแต่ได้เจอภรรยาและลูก ก็กลับตาลปัตรแข็งเป็นหินทันที เขาได้บทสรุปแล้วว่า เจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้าเป็นลูกชู้ ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเป็นลูกใครแต่ชายหนุ่มได้บทสรุปแล้วว่านี่ไม่ใช่ ลูกของเขา แค้นสุดแค้น จนพอภรรยาสาวกลับมา เขาไม่สามารถช้อนตามองเธอได้อีกแล้ว เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงแนวหน้าแล้วเฝ้ารอเธอมาทั้งชีวิต ถนอมชีวิตไว้จะได้นำชีวิตกลับมาอยู่กินกับเธอ แต่เธออยู่แนวหลังแทนที่จะจงรักภักดีสามี กลับสวมเขาให้กับเขา สวมเขาให้แล้วยังไม่พอยังเอาลูกชู้มาหลอกเขาอีก เขาแค้นมาก เขาไม่อาจช้อนหน้าขึ้นมองเธอได้อีกต่อไป เขาก้มหน้าลงต่ำเหมือนพระธุดงค์มองแต่พื้น แล้วตาเขาก็ปิดสนิท เขารู้สึกว่าเธอไม่มีศักดิ์ศรีไม่มีความสง่างามที่เขาจำเป็นจะต้องพูดด้วย เมื่อภรรยากลับมา เห็นอาการของสามีเปลี่ยนไป เธอก็คิดในใจว่า ทหารเพิ่งกลับจากกองทัพสงสัยคงจะยังคุ้มดีคุ้มร้าย ช่างเถอะเธอก็เลยยื่นมือไปจับแขน พี่กลับบ้านเรา ชายหนุ่มสะบัดแขนหนี เธอคิดหนัก สงสัยนี้จะคุ้มร้ายคุ้มดี เมื่อกี้มันคุ้มดีคุ้มร้าย พอจะจับแขนไม่ให้จับนี่มันคุ้มร้ายคุ้มดี เธอยังมองโลกในแง่ดี ถ้าอย่างนั้นพี่ตามมาละกัน เธอเดินนำไปพร้อมกับลูก สามีเดินตาม สามคนแทนที่จะเดินเคียงก็เดินเรียง กลับถึงบ้านเธอรีบเข้าครัวทำอาหารมาจัดวางที่โต๊ะ ปรากฏว่าสามีไม่ยอมกินเขาเข้านอนแต่หัวค่ำ หน้าเธอเขายังไม่มอง เธอแปลกใจมาก จึงกินข้าวไม่ลงเช่นกัน คืนนั้นทั้งคืนชายหนุ่มตะโกนถามหญิงสาวว่า ทำไมนอกใจฉัน หญิงสาวตะโกนถามชายหนุ่มว่า ทำไมพี่ไม่พูด มีอะไรทำไมพี่ไม่พูด ทว่าต่างก็ไม่มีใครได้ยินเพราะเป็นการตะโกนอยู่ในความคิด ปากของคนทั้งคู่ไม่มีใครเอาผ้ามาปิดไว้ แต่ถึงกระนั้นคนทั้งคู่ก็ไม่อาจที่จะเอ่ยปากพูด เพราะผู้หญิงก็คิดว่าทำไมฉันจะต้องพูดก่อน ฉันไม่ผิด ฝ่ายชายก็คิดว่า เธอไม่ควรที่จะได้ยินคำพูดจากเรา เพราะเธอเป็นหญิงโฉด วันแรกผ่านไปด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจของทั้งสองฝ่าย หญิงสาวคิดว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้น ปรากฏว่าวันที่สองก็ไม่ดีขึ้น วันที่สามก็ไม่ดีขึ้น คนเราเมื่ออยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกันแต่ไม่พูดกัน ไม่มองหน้ากัน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเขาเรียกว่ายิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ ในที่สุดภรรยาทนพิษบาดแผลทางใจจากการป่วยด้วยโรคถูกมองไม่เห็นหัวไม่ไหว โรคอย่างนี้เขาเรียกว่าโรคศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์บกพร่อง มีตัวตนแต่อีกฝ่ายประเมินว่าเหมือนไม่มี (ติดตามตอนต่อไปวันพระหน้า) ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20130701/162256/โลกทัศน์แห่งความสุข(๘)สังขารแห่งความทุกข์.html#.UduFpaxHWzs

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...