ปากทางแห่งสุขภาพ๒ภาวนาว่าด้วยเรื่อง'กิน'
ปากทางแห่งสุขภาพ๒ภาวนาว่าด้วยเรื่อง'กิน' : จุดประทีปธรรม โดยพระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์
เวลารับประทานอาหาร "สติ" ระลึกรู้เท่าทันจะต้องมาประกอบอยู่เสมอ เพราะมิฉะนั้นปริมาณของอาหารจะเข้ามาจนเกินพอดี ได้อาหารดี ชอบ คือ "โลภะ" ได้อาหารไม่ดี ไม่ชอบ คือ "โทสะ" ได้อาหารทั้งดีและไม่ดี เฉยๆ คือ "โมหะ"
ปากคือต้นธารของอาหาร มนสิการไม่ดีก็เกิดกิเลส ทางพระท่านจึงให้พิจารณาว่าเป็นเพียงธาตุอย่างหนึ่ง มิใช่สัตว์ มิใช่ชีวะ ช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายให้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ได้เท่านั้น
พระจริยาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะทรงกระทำภัตกิจปรากฏอยู่ในพรหมายุสูตรว่า
“พระผู้มีพระภาคทรงรับข้าวสุกพอดีๆ ไม่น้อยไม่มาก รับกับข้าวเสวยพอประมาณกับคำข้าว ไม่ทำกับข้าวให้เกินคำข้าว เคี้ยวสองสามครั้งแล้วกลืน หากคำข้าวยังไม่ละเอียดจะไม่กลืนลงไป กระทั่งคำข้าวไม่เหลืออยู่ในพระโอษฐ์แล้ว จึงค่อยนำคำข้าวอีกคำหนึ่งเข้าสู่พระโอษฐ์ใหม่ ทรงมีปกติกำหนดรู้รสอาหารเสวย ไม่ติดใจในรสเลย”
การรับประทานอาหารหากเราสามารถปฏิบัติได้ตามพระจริยาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้จะดีมากๆ ส่งผลดีต่อผิวพรรณวรรณะและอายุที่ยืนยาว แต่กลายเป็นว่าเรายกให้เป็นเรื่องของพระอย่างเดียว แต่นี่คือ "ต้นตำหรับสุขภาพชั้นยอด" ยาอายุวัฒนะที่ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน พระพุทธองค์ประทานพระจริยานี้ไว้แล้ว
เคยสังเกตบ้างไหม คำข้าวหรืออาหารอยู่ในปากเรานั้นเคี้ยวได้กี่ครั้งจึงละเอียด พบว่า ต้องเคี้ยวเกิน ๔๐ ครั้ง ถ้าไม่เกิน ๔๐ ครั้ง อาหารหรือคำข้าวจะไม่ค่อยละเอียด หลวกๆ หยาบกลืนลงไป ครั้นตกถึงกระเพาะ กระเพาะก็ทำงานหนักย่อยยาก ดูดซับเอาสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ไม่ดี พอถึงเวลาขับถ่าย อุจจาระก็แข็งออกลำบาก ไม่นานโรคริดสีดวงทวารก็ถามหา แต่ถ้าเคี้ยวได้ละเอียดกลืนลงสู่กระเพาะ กระเพาะก็ทำงานเบาย่อยง่ายดูดซับเอาสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ดี พอถึงเวลาขับถ่าย อุจจาระก็อ่อนออกง่าย โรคริดสีดวงทวารไม่ถามหา
ยิ่งไปกว่านั้นคือการเคี้ยวอย่างมีสติ ระลึกรู้อยู่ทุกขณะ จะทำให้เรารู้รสในตอนแรก และจะเป็นการทำลายรสชาติของอาหารใสตอนหลัง คลายรสความอร่อยลงเอง เดิมทีที่คิดจะรับประทานมากก็รับประทานน้อย ยิ่งเคี้ยวละเอียด เวลาผ่านไปสัก ๒ ชั่วโมง อาหารที่ตกอยู่ในท้องก็ถูกบดย่อยจนหมดร่างกายโปร่งเบา
นี่คือการปฏิบัติของผู้เจริญวิปัสสนา ดังคาถาพระสารีบุตรว่า “อูนูทโร มิตาหาโร ท้องพร่อง อาหารพอประมาณ” และสอดคล้องกับหลักการที่หลวงปู่ชา สุภัทโทกล่าวว่า “กินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก”
ปริมาณอาหารในทางธรรมนั้นจะลดน้อยลงกว่าปริมาณอาหารในทางโลกมาก เพราะถ้าถือเอาปริมาณอาหารในทางโลกมาปฏิบัติในทางธรรม แม้จะรับประทานได้พอดีแล้ว แต่ก็ยังส่งผลเสียต่อการเจริญวิปัสสนา ทำให้กำหนดอารมณ์กรรมฐานได้ลำบาก ยิ่งถีนมิทธะความง่วงซึมเข้ามาแทรก ยิ่งต้องจำกัดอาหารลงให้น้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้ข้อปฏิบัติทางธรรมจะลำบากสำหรับทางโลกสักหน่อย (สวนทางกับบริโภคนิยม) แต่ผู้ปรารถนาสุขภาพดีก็ควรน้อมนำวิธีทางธรรมนี้ไปสู่วิถีทางโลกปฏิบัติตาม เถิด ทั้งนี้ เพื่อ "สุขภาพจิตแจ่มใส อยู่ในสุขภาพกายที่แข็งแรง" นั่นเอง
ต้นทางสุขภาพดีอยู่ที่ปาก
แม้หิวมากอยากกลืนกินอาหาร
แต่ควรรู้ ลด ละ พอประมาณ
อย่าลนลานกินหมดกำหนดจำ
จงเคี้ยวให้ละเอียดดีมีสติ
คอยตรองตริดูไว้อย่าให้ล้ำ
เมื่อกินถูกทำนองตามครองธรรม
ย่อมพานำสู่สุขกายสบายใจ ฯ
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ปากทางแห่งสุขภาพ๒ภาวนาว่าด้วยเรื่อง'กิน' : จุดประทีปธรรม โดยพระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ เวลารับประทานอาหาร "สติ" ระลึกรู้เท่าทันจะต้องมาประกอบอยู่เสมอ เพราะมิฉะนั้นปริมาณของอาหารจะเข้ามาจนเกินพอดี ได้อาหารดี ชอบ คือ "โลภะ" ได้อาหารไม่ดี ไม่ชอบ คือ "โทสะ" ได้อาหารทั้งดีและไม่ดี เฉยๆ คือ "โมหะ" ปากคือต้นธารของอาหาร มนสิการไม่ดีก็เกิดกิเลส ทางพระท่านจึงให้พิจารณาว่าเป็นเพียงธาตุอย่างหนึ่ง มิใช่สัตว์ มิใช่ชีวะ ช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายให้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ได้เท่านั้น พระจริยาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะทรงกระทำภัตกิจปรากฏอยู่ในพรหมายุสูตรว่า “พระผู้มีพระภาคทรงรับข้าวสุกพอดีๆ ไม่น้อยไม่มาก รับกับข้าวเสวยพอประมาณกับคำข้าว ไม่ทำกับข้าวให้เกินคำข้าว เคี้ยวสองสามครั้งแล้วกลืน หากคำข้าวยังไม่ละเอียดจะไม่กลืนลงไป กระทั่งคำข้าวไม่เหลืออยู่ในพระโอษฐ์แล้ว จึงค่อยนำคำข้าวอีกคำหนึ่งเข้าสู่พระโอษฐ์ใหม่ ทรงมีปกติกำหนดรู้รสอาหารเสวย ไม่ติดใจในรสเลย” การรับประทานอาหารหากเราสามารถปฏิบัติได้ตามพระจริยาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้จะดีมากๆ ส่งผลดีต่อผิวพรรณวรรณะและอายุที่ยืนยาว แต่กลายเป็นว่าเรายกให้เป็นเรื่องของพระอย่างเดียว แต่นี่คือ "ต้นตำหรับสุขภาพชั้นยอด" ยาอายุวัฒนะที่ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน พระพุทธองค์ประทานพระจริยานี้ไว้แล้ว เคยสังเกตบ้างไหม คำข้าวหรืออาหารอยู่ในปากเรานั้นเคี้ยวได้กี่ครั้งจึงละเอียด พบว่า ต้องเคี้ยวเกิน ๔๐ ครั้ง ถ้าไม่เกิน ๔๐ ครั้ง อาหารหรือคำข้าวจะไม่ค่อยละเอียด หลวกๆ หยาบกลืนลงไป ครั้นตกถึงกระเพาะ กระเพาะก็ทำงานหนักย่อยยาก ดูดซับเอาสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ไม่ดี พอถึงเวลาขับถ่าย อุจจาระก็แข็งออกลำบาก ไม่นานโรคริดสีดวงทวารก็ถามหา แต่ถ้าเคี้ยวได้ละเอียดกลืนลงสู่กระเพาะ กระเพาะก็ทำงานเบาย่อยง่ายดูดซับเอาสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ดี พอถึงเวลาขับถ่าย อุจจาระก็อ่อนออกง่าย โรคริดสีดวงทวารไม่ถามหา ยิ่งไปกว่านั้นคือการเคี้ยวอย่างมีสติ ระลึกรู้อยู่ทุกขณะ จะทำให้เรารู้รสในตอนแรก และจะเป็นการทำลายรสชาติของอาหารใสตอนหลัง คลายรสความอร่อยลงเอง เดิมทีที่คิดจะรับประทานมากก็รับประทานน้อย ยิ่งเคี้ยวละเอียด เวลาผ่านไปสัก ๒ ชั่วโมง อาหารที่ตกอยู่ในท้องก็ถูกบดย่อยจนหมดร่างกายโปร่งเบา นี่คือการปฏิบัติของผู้เจริญวิปัสสนา ดังคาถาพระสารีบุตรว่า “อูนูทโร มิตาหาโร ท้องพร่อง อาหารพอประมาณ” และสอดคล้องกับหลักการที่หลวงปู่ชา สุภัทโทกล่าวว่า “กินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก” ปริมาณอาหารในทางธรรมนั้นจะลดน้อยลงกว่าปริมาณอาหารในทางโลกมาก เพราะถ้าถือเอาปริมาณอาหารในทางโลกมาปฏิบัติในทางธรรม แม้จะรับประทานได้พอดีแล้ว แต่ก็ยังส่งผลเสียต่อการเจริญวิปัสสนา ทำให้กำหนดอารมณ์กรรมฐานได้ลำบาก ยิ่งถีนมิทธะความง่วงซึมเข้ามาแทรก ยิ่งต้องจำกัดอาหารลงให้น้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้ข้อปฏิบัติทางธรรมจะลำบากสำหรับทางโลกสักหน่อย (สวนทางกับบริโภคนิยม) แต่ผู้ปรารถนาสุขภาพดีก็ควรน้อมนำวิธีทางธรรมนี้ไปสู่วิถีทางโลกปฏิบัติตาม เถิด ทั้งนี้ เพื่อ "สุขภาพจิตแจ่มใส อยู่ในสุขภาพกายที่แข็งแรง" นั่นเอง ต้นทางสุขภาพดีอยู่ที่ปาก แม้หิวมากอยากกลืนกินอาหาร แต่ควรรู้ ลด ละ พอประมาณ อย่าลนลานกินหมดกำหนดจำ จงเคี้ยวให้ละเอียดดีมีสติ คอยตรองตริดูไว้อย่าให้ล้ำ เมื่อกินถูกทำนองตามครองธรรม ย่อมพานำสู่สุขกายสบายใจ ฯ ขอบคุณ ... http://www.komchadluek.net/detail/20130403/155350/ปากทางแห่งสุขภาพ๒ภาวนาว่าด้วยเรื่องกิน.html#.UXSniUqja8o
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)