'อหิงสา'มรรคาสู่สันติ(๑๖)เสรีภาพทางศาสนา
'อหิงสา'มรรคาสู่สันติ(๑๖)เสรีภาพทางศาสนา : คันฉ่องและโคมฉาย โดยว.วชิรเมธี
ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าอโศกมหาราช คือ ต้นแบบของขบวนการอหิงสาที่เก่าแก่ จากศิลาจารึกของพระองค์ที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่สาม ระบุถึงพระราชจริยวัตรในพระองค์ในเรื่องนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า
"ธรรมโองการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ได้โปรดให้จารึกไว้ ณ ถิ่นนี้ บุคคลไม่พึงฆ่าสัตว์มีชีวิตใดๆ เพื่อการบูชายัญ...แต่ก่อนนี้ ในโรงครัวหลวงของพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ สัตว์ได้ถูกฆ่าเพื่อทำเป็นอาหาร วันละหลายแสนตัว ครั้นมาในบัดนี้ เมื่อธรรมโองการนี้อันพระองค์โปรดให้จารึกแล้ว สัตว์เพียง ๓ ตัวเท่านั้นที่ถูกฆ่า คือ นกยูง ๒ ตัว และเนื้อ ๑ ตัว ถึงแม้เนื้อนั้นก็มิได้ถูกฆ่าเป็นประจำ ก็แลสัตว์ทั้งสามนี้ (ในกาลภายหน้า) ก็จักไม่ถูกฆ่าอีกเลย”
นอกจากพุทธศาสนาจะมอบต้นธารแห่งขบวนการ "อหิงสา" ให้แก่โลกแล้ว ก็ยังมอบ "ขันติธรรม" (Tolerance) กล่าวคือ ความมีใจกว้าง พร้อมที่จะยอมอด ยอมทน ต่อความแตกต่างระหว่างคนที่ถือศาสนา ลัทธินิยม อุดมการณ์ที่แตกต่างกันให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติอีกด้วย คตินี้มีเค้ามาแต่พุทธธรรมในเรื่อง "สัจจานุรักษ์" (ซึ่งเคยกล่าวถึงมาแล้วในหัวข้อ "ศาสนาแห่งสันติภาพ") ซึ่งพระเจ้าอโศกทรงนำมาเน้นย้ำในรัชสมัยของพระองค์ และกลายมาเป็นคติสำคัญในประเทศแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป และทั่วโลก หลังจากที่พวกเขาได้ผ่านพ้นสงครามศาสนามาแล้วอย่างสะบักสะบอม
ขันติธรรมนี้มองอีกมุมหนึ่งก็คือ การให้เสรีภาพทางศาสนา (Religious Freedom) แก่ประชาชนนั่นเอง ขันติธรรมและเสรีธรรมนี้มีปรากฏอยู่ในรัฐาภิบาล (Public Governance or National Governance) นโยบายทางการเมืองการปกครองสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่พระองค์ทรงให้เสรีภาพ ทางศาสนาแก่ประชาชนของพระองค์อย่างเต็มที่ ทำให้ทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความแตกต่างจึงไม่กลายเป็นความแตกแยกแต่ได้กลายเป็นความเติมเต็ม เพราะต่างคน ต่างปัญญา และต่างศรัทธา
ศาสนาแต่ละศาสนาก็ย่อมเหมาะกับพื้นภูมิปัญญาของผู้คนที่แตกต่างกัน การเกณฑ์ให้คนทั้งประเทศหรือคนทั้งโลกถือศาสนาเดียวกัน จึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลากหลายกันทาง ภูมิปัญญา ในเรื่องนี้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำหน้าพวกเราในยุคนี้มาก ดังศิลาจารึกของพระองค์ระบุถึงความมีใจกว้างทางศาสนาไว้ดังนี้
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ย่อมทรงยกย่องนับถือศาสนิกชนแห่งลัทธิศาสนาทั้งปวง ทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ ด้วยการพระราชทานสิ่งของและการแสดงความยกย่องนับถืออย่างอื่นๆ แต่พระผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ย่อมไม่ทรงพิจารณาเห็นทานหรือการบูชาอันใดที่จะเทียบได้กับสิ่งนี้เลย สิ่งนี้คืออะไร? สิ่งนั้นก็คือ การที่จะพึงมีความเจริญงอกงามแห่งสารธรรมในลัทธิศาสนาทั้งปวง
(ติดตามตอนต่อไปวันพระหน้า)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
'อหิงสา'มรรคาสู่สันติ(๑๖)เสรีภาพทางศาสนา : คันฉ่องและโคมฉาย โดยว.วชิรเมธี ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าอโศกมหาราช คือ ต้นแบบของขบวนการอหิงสาที่เก่าแก่ จากศิลาจารึกของพระองค์ที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่สาม ระบุถึงพระราชจริยวัตรในพระองค์ในเรื่องนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า "ธรรมโองการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ได้โปรดให้จารึกไว้ ณ ถิ่นนี้ บุคคลไม่พึงฆ่าสัตว์มีชีวิตใดๆ เพื่อการบูชายัญ...แต่ก่อนนี้ ในโรงครัวหลวงของพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ สัตว์ได้ถูกฆ่าเพื่อทำเป็นอาหาร วันละหลายแสนตัว ครั้นมาในบัดนี้ เมื่อธรรมโองการนี้อันพระองค์โปรดให้จารึกแล้ว สัตว์เพียง ๓ ตัวเท่านั้นที่ถูกฆ่า คือ นกยูง ๒ ตัว และเนื้อ ๑ ตัว ถึงแม้เนื้อนั้นก็มิได้ถูกฆ่าเป็นประจำ ก็แลสัตว์ทั้งสามนี้ (ในกาลภายหน้า) ก็จักไม่ถูกฆ่าอีกเลย” นอกจากพุทธศาสนาจะมอบต้นธารแห่งขบวนการ "อหิงสา" ให้แก่โลกแล้ว ก็ยังมอบ "ขันติธรรม" (Tolerance) กล่าวคือ ความมีใจกว้าง พร้อมที่จะยอมอด ยอมทน ต่อความแตกต่างระหว่างคนที่ถือศาสนา ลัทธินิยม อุดมการณ์ที่แตกต่างกันให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติอีกด้วย คตินี้มีเค้ามาแต่พุทธธรรมในเรื่อง "สัจจานุรักษ์" (ซึ่งเคยกล่าวถึงมาแล้วในหัวข้อ "ศาสนาแห่งสันติภาพ") ซึ่งพระเจ้าอโศกทรงนำมาเน้นย้ำในรัชสมัยของพระองค์ และกลายมาเป็นคติสำคัญในประเทศแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป และทั่วโลก หลังจากที่พวกเขาได้ผ่านพ้นสงครามศาสนามาแล้วอย่างสะบักสะบอม ขันติธรรมนี้มองอีกมุมหนึ่งก็คือ การให้เสรีภาพทางศาสนา (Religious Freedom) แก่ประชาชนนั่นเอง ขันติธรรมและเสรีธรรมนี้มีปรากฏอยู่ในรัฐาภิบาล (Public Governance or National Governance) นโยบายทางการเมืองการปกครองสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่พระองค์ทรงให้เสรีภาพ ทางศาสนาแก่ประชาชนของพระองค์อย่างเต็มที่ ทำให้ทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความแตกต่างจึงไม่กลายเป็นความแตกแยกแต่ได้กลายเป็นความเติมเต็ม เพราะต่างคน ต่างปัญญา และต่างศรัทธา ศาสนาแต่ละศาสนาก็ย่อมเหมาะกับพื้นภูมิปัญญาของผู้คนที่แตกต่างกัน การเกณฑ์ให้คนทั้งประเทศหรือคนทั้งโลกถือศาสนาเดียวกัน จึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลากหลายกันทาง ภูมิปัญญา ในเรื่องนี้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำหน้าพวกเราในยุคนี้มาก ดังศิลาจารึกของพระองค์ระบุถึงความมีใจกว้างทางศาสนาไว้ดังนี้ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ย่อมทรงยกย่องนับถือศาสนิกชนแห่งลัทธิศาสนาทั้งปวง ทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ ด้วยการพระราชทานสิ่งของและการแสดงความยกย่องนับถืออย่างอื่นๆ แต่พระผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ย่อมไม่ทรงพิจารณาเห็นทานหรือการบูชาอันใดที่จะเทียบได้กับสิ่งนี้เลย สิ่งนี้คืออะไร? สิ่งนั้นก็คือ การที่จะพึงมีความเจริญงอกงามแห่งสารธรรมในลัทธิศาสนาทั้งปวง (ติดตามตอนต่อไปวันพระหน้า) ขอบคุณ http://www.komchadluek.net/detail/20130403/155349/อหิงสามรรคาสู่สันติ(๑๖)เสรีภาพทางศาสนา.html#.UXnsj0qja8o
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)