เมตตาคือศาสตรา ที่ใครก็มิอาจต้านทาน
สิ่งใดที่เรายิ่งรักมาก สิ่งนั้นยิ่ง จะทำร้ายเราได้มาก
สิ่งใดที่เรารักน้อย สิ่งนั้นยิ่ง จะทำร้ายเราได้น้อย
สิ่งใดที่เราไม่รักเลย สิ่งนั้นเราก็ จะเฉยๆ ไม่ได้ทำความทุกข์อะไรให้กับเราเลย
นี่คือสัจธรรมของความรัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในโลกนี้เราไม่ควรรักใครเลย หากแต่ที่เหนือกว่าคำว่า "รัก" และก้าวพ้นความ "ทุกข์" ได้ยังมีอยู่ คือ "ความเมตตา" เพราะเมตตาไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน หรือการผูกมัดใดๆ เหมือนเวลาที่เราหยอดเงินใส่ขันของคุณยายชราที่นั่งขอทานอยู่บนสะพานลอย หรือการซื้อหมูปิ้งหยิบยื่นให้กับสุนัขจรจัดข้างถนน หรือแม้กระทั่งการรดน้ำต้นไม้ในสวนหลังบ้านของเราเอง ที่เราก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย เพียงแค่อยากเห็นเขาเจริญเติบโต อยู่ดีมีสุข แล้วความชุ่มฉ่ำจากการได้เห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขเช่นนี้ คือ ค่าตอบแทนที่เราก็พึงพอใจอยู่แล้วในตัวเอง ซึ่งนี่ก็คือเรื่องของความเมตตา
ความเมตตาโดยลักษณะแล้วคือ ความหวังดี เราดีอย่างไรก็ปรารถนาให้เขาดีอย่างนั้น เป็นการรักผู้อื่นเหมือนกับรักตนเอง เป็นความรักแท้ที่ไม่เจือปนด้วยอำนาจของราคะ และความเร่าร้อนใดๆ ความเมตตาตัวเดียวจะทำงานแบบครบวงจร คือ สร้างความเย็นอย่างชุ่มฉ่ำ ทำลายความเกลียดชัง ดึงดูดผู้คนเข้ามาหา ลดความยึดถือว่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ และแทนที่เงามืดของความเห็นแก่ตัวด้วยความปรารถนาดี
ปัจจุบันผู้คนต้องการความรักและความสำเร็จ จึงมีอยู่ไม่น้อยที่เที่ยวแสวงหาสิ่งต่างๆ มาเป็นเครื่องมือในการสู้รบปรบมือกับโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน พวกที่ตกเป็นเหยื่อของสังคมและตกเป็นทาสของโทสะก็ไปหาอาวุธศาสตราอย่างมีดหรือปืนมาใช้ทำลายกัน บางพวกก็ใช้ปากหรือปลายปากกาเที่ยวใส่ร้ายป้ายสีกัน บางพวก ก็ต้องสยบยอมให้พวกมีอิทธิพลมา หนุนหลัง บางพวกก็หันหน้าเข้าหาไสยศาสตร์ ส่วนที่ดีหน่อยก็ไปหาวัตถุมงคลจากสำนักเกจิอาจารย์ต่างๆ โดยหมายจะให้ชีวิต มีความสะดวกราบรื่นมั่นคง ทั้งเรื่อง ของชีวิต ความรัก การเงิน และการงาน
แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า "เมตตา" นี่เอง ที่เป็นดุจเครื่องทรงอันมหาเสน่ห์ ที่จะดึงดูดความรักและความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม อีกทั้งยังเป็นอาวุธที่ไม่มีผู้ใดอาจหาญต้านทานได้ ถ้าจิตของเรามีความเมตตาเป็นปกติ ไม่โกรธเกลียด ไม่อิจฉาริษยาใคร ใจเราจะเยือกเย็นเป็นสุข และพร้อมจะดึงดูดความรักของใครต่อใครเข้ามาหา เมื่อผู้คนเป็นจำนวนมากรักใคร่นิยมในตัวเรา ความสำเร็จก็อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ นอกจากนี้ตัวเมตตาจะปรุงแต่งให้หน้าตาและผิวพรรณมีความชื่นบานผ่องใส สวยสดงดงามขึ้นมา และยิ่งมีเมตตามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีสภาพที่เปล่งปลั่งผ่องใสมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ความเมตตาจึงเป็นสุขทั้งภายใน และภายนอก ยิ่งมีเมตตามากขึ้น เท่าไหร่ อานุภาพก็จะยิ่งแผ่ขยายอาณาเขตออกไปได้กว้างขวางมากขึ้นเท่านั้น... ในเมื่อเมตตาดีขนาดนี้ แล้วทำไมเราจึงไม่ควรจะฝึกให้ใจมีเมตตากันให้มากไว้ตั้งแต่วันนี้ล่ะ?
บทความโดย พระเฉลิมชาติ ชาติวโร พระธรรมทูตเชิงลึกแดนพุทธภูมิ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐
ขอบคุณ... http://goo.gl/AsvqQ1 (ขนาดไฟล์: 0 )
ที่มา: http://goo.gl/AsvqQ1 (ขนาดไฟล์: 0
)
วันที่โพสต์: 11/04/2559 เวลา 09:13:13
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ดอกบัวสีขาว สิ่งใดที่เรายิ่งรักมาก สิ่งนั้นยิ่ง จะทำร้ายเราได้มาก สิ่งใดที่เรารักน้อย สิ่งนั้นยิ่ง จะทำร้ายเราได้น้อย สิ่งใดที่เราไม่รักเลย สิ่งนั้นเราก็ จะเฉยๆ ไม่ได้ทำความทุกข์อะไรให้กับเราเลย นี่คือสัจธรรมของความรัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในโลกนี้เราไม่ควรรักใครเลย หากแต่ที่เหนือกว่าคำว่า "รัก" และก้าวพ้นความ "ทุกข์" ได้ยังมีอยู่ คือ "ความเมตตา" เพราะเมตตาไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน หรือการผูกมัดใดๆ เหมือนเวลาที่เราหยอดเงินใส่ขันของคุณยายชราที่นั่งขอทานอยู่บนสะพานลอย หรือการซื้อหมูปิ้งหยิบยื่นให้กับสุนัขจรจัดข้างถนน หรือแม้กระทั่งการรดน้ำต้นไม้ในสวนหลังบ้านของเราเอง ที่เราก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย เพียงแค่อยากเห็นเขาเจริญเติบโต อยู่ดีมีสุข แล้วความชุ่มฉ่ำจากการได้เห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขเช่นนี้ คือ ค่าตอบแทนที่เราก็พึงพอใจอยู่แล้วในตัวเอง ซึ่งนี่ก็คือเรื่องของความเมตตา ความเมตตาโดยลักษณะแล้วคือ ความหวังดี เราดีอย่างไรก็ปรารถนาให้เขาดีอย่างนั้น เป็นการรักผู้อื่นเหมือนกับรักตนเอง เป็นความรักแท้ที่ไม่เจือปนด้วยอำนาจของราคะ และความเร่าร้อนใดๆ ความเมตตาตัวเดียวจะทำงานแบบครบวงจร คือ สร้างความเย็นอย่างชุ่มฉ่ำ ทำลายความเกลียดชัง ดึงดูดผู้คนเข้ามาหา ลดความยึดถือว่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ และแทนที่เงามืดของความเห็นแก่ตัวด้วยความปรารถนาดี ปัจจุบันผู้คนต้องการความรักและความสำเร็จ จึงมีอยู่ไม่น้อยที่เที่ยวแสวงหาสิ่งต่างๆ มาเป็นเครื่องมือในการสู้รบปรบมือกับโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน พวกที่ตกเป็นเหยื่อของสังคมและตกเป็นทาสของโทสะก็ไปหาอาวุธศาสตราอย่างมีดหรือปืนมาใช้ทำลายกัน บางพวกก็ใช้ปากหรือปลายปากกาเที่ยวใส่ร้ายป้ายสีกัน บางพวก ก็ต้องสยบยอมให้พวกมีอิทธิพลมา หนุนหลัง บางพวกก็หันหน้าเข้าหาไสยศาสตร์ ส่วนที่ดีหน่อยก็ไปหาวัตถุมงคลจากสำนักเกจิอาจารย์ต่างๆ โดยหมายจะให้ชีวิต มีความสะดวกราบรื่นมั่นคง ทั้งเรื่อง ของชีวิต ความรัก การเงิน และการงาน แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า "เมตตา" นี่เอง ที่เป็นดุจเครื่องทรงอันมหาเสน่ห์ ที่จะดึงดูดความรักและความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม อีกทั้งยังเป็นอาวุธที่ไม่มีผู้ใดอาจหาญต้านทานได้ ถ้าจิตของเรามีความเมตตาเป็นปกติ ไม่โกรธเกลียด ไม่อิจฉาริษยาใคร ใจเราจะเยือกเย็นเป็นสุข และพร้อมจะดึงดูดความรักของใครต่อใครเข้ามาหา เมื่อผู้คนเป็นจำนวนมากรักใคร่นิยมในตัวเรา ความสำเร็จก็อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ นอกจากนี้ตัวเมตตาจะปรุงแต่งให้หน้าตาและผิวพรรณมีความชื่นบานผ่องใส สวยสดงดงามขึ้นมา และยิ่งมีเมตตามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีสภาพที่เปล่งปลั่งผ่องใสมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ความเมตตาจึงเป็นสุขทั้งภายใน และภายนอก ยิ่งมีเมตตามากขึ้น เท่าไหร่ อานุภาพก็จะยิ่งแผ่ขยายอาณาเขตออกไปได้กว้างขวางมากขึ้นเท่านั้น... ในเมื่อเมตตาดีขนาดนี้ แล้วทำไมเราจึงไม่ควรจะฝึกให้ใจมีเมตตากันให้มากไว้ตั้งแต่วันนี้ล่ะ? บทความโดย พระเฉลิมชาติ ชาติวโร พระธรรมทูตเชิงลึกแดนพุทธภูมิ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐ ขอบคุณ... http://goo.gl/AsvqQ1
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)