รับผิดชอบร่วมกัน สังคมเป็นสุข
เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ จะต้องทำกิจกรรมร่วมกันอยู่ตลอดเวลา ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ละชีวิตต่างก็ต้องการที่จะเสริมสร้างความสุข ความมั่นใจ และความปลอดภัยให้กับตนเองอยู่เสมอ สังคมจึงเป็นแหล่งศูนย์รวมทางความคิดที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา เพื่อแสวงหาคำตอบทุกๆ อย่างให้กับตนเอง
สังคมในทุกระดับชั้นเป็นแหล่งรวมคนหลายๆ คนเข้าด้วยกัน ซึ่งในจำนวนผู้คนเหล่านั้น แต่ละคนต่างก็มีชีวิต มีจิตวิญญาณ มีความรู้สึกนึกคิดและมีจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันออกไป
ด้วยเหตุนี้ บางครั้งทำให้สังคมต้องเกิดปัญหาหรือมีความสับสนวุ่นวาย อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางด้านความคิดของแต่ละคน ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่สังคมมีปัญหาขึ้นจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผู้ที่จะทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปได้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกๆ คนนั่นเอง ที่จะต้องสามัคคีร่วมใจกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมของตนเองให้ดีและมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
สังคมที่เราอยู่ในปัจจุบันนี้ คงจะมีความสงบสุขและน่าอยู่มากกว่านี้ ถ้าสมาชิกในสังคมแต่ละคนมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี เสียสละละวางความเห็นแก่ตัวลง ละโทษ ข้อบกพร่อง สิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตด้วยความประมาท ให้แก่กันละกัน พร้อมทั้งน้อมนำเอาหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางดำเนินชีวิต ชีวิตก็จะมีความเจริญอย่างเดียว
โทษข้อบกพร่อง ความผิดพลาดที่เกิดจากความประมาทในการดำเนินชีวิต อาจมีบ้างในบางครั้ง เช่นจากคนที่เคยนอนตื่นเช้าก็กลายเป็นคนนอนตื่นสาย จากคนที่เคยซื่อสัตย์สุจริตก็กลายเป็นคนคดโกงโกหกหลอกลวง
จากคนที่เคยขยันหมั่นเพียรก็กลายเป็นคนเกียจคร้าน จากคนที่มีความรับผิดชอบก็กลายเป็นคนเหลวไหล
จากคนที่เคยน่าไว้ใจก็กลายเป็นคนไม่น่าไว้ใจ จากคนที่เคยมีน้ำใจเอื้อเฟื้อแก่คนทั่วไปก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
กล่าวโดยสรุปก็คือจากเดิมที่เคยเป็นคนดีก็กลายเป็นคนไม่ดี เหล่านี้ล้วนมีผลเสียโดยตรงต่อตนเอง และอาจมีผลเกี่ยวเนื่องต่อบุคคลอื่นขยายผลเสียไปสู่สังคมได้
บุคคลที่เกี่ยวข้อง ผู้ปรารถนาดี เมื่อมองเห็นโทษอันจะเกิดขึ้น จึงควรว่ากล่าวตักเตือน แนะนำด้วยการพูดแต่สิ่งที่ดี พูดกันด้วยความรักความปรารถนาดี รู้จักการพูดให้กำลังใจกันและกัน
และในยามที่มีใครต้องล้มลง ต้องพบกับความทุกข์ ความผิดหวังหรือความเศร้าหมองต่างๆ ต้องไม่มีการพูดจาซ้ำเติมกัน ไม่นินทาว่าร้ายกันทั้งต่อหน้าและ ลับหลัง พร้อมทั้งให้กำลังใจ แนะนำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ให้แก่กัน สังคมจะพบกับความสงบสุขแน่
คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
บทความโดย พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. 9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร
ขอบคุณ... http://goo.gl/vzjeDv (ขนาดไฟล์: 0 )
ที่มา: http://goo.gl/vzjeDv (ขนาดไฟล์: 0
)
วันที่โพสต์: 9/08/2559 เวลา 10:17:59
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
รับผิดชอบร่วมกัน สังคมเป็นสุข เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ จะต้องทำกิจกรรมร่วมกันอยู่ตลอดเวลา ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ละชีวิตต่างก็ต้องการที่จะเสริมสร้างความสุข ความมั่นใจ และความปลอดภัยให้กับตนเองอยู่เสมอ สังคมจึงเป็นแหล่งศูนย์รวมทางความคิดที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา เพื่อแสวงหาคำตอบทุกๆ อย่างให้กับตนเอง สังคมในทุกระดับชั้นเป็นแหล่งรวมคนหลายๆ คนเข้าด้วยกัน ซึ่งในจำนวนผู้คนเหล่านั้น แต่ละคนต่างก็มีชีวิต มีจิตวิญญาณ มีความรู้สึกนึกคิดและมีจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ บางครั้งทำให้สังคมต้องเกิดปัญหาหรือมีความสับสนวุ่นวาย อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางด้านความคิดของแต่ละคน ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่สังคมมีปัญหาขึ้นจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผู้ที่จะทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปได้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกๆ คนนั่นเอง ที่จะต้องสามัคคีร่วมใจกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมของตนเองให้ดีและมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น สังคมที่เราอยู่ในปัจจุบันนี้ คงจะมีความสงบสุขและน่าอยู่มากกว่านี้ ถ้าสมาชิกในสังคมแต่ละคนมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี เสียสละละวางความเห็นแก่ตัวลง ละโทษ ข้อบกพร่อง สิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตด้วยความประมาท ให้แก่กันละกัน พร้อมทั้งน้อมนำเอาหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางดำเนินชีวิต ชีวิตก็จะมีความเจริญอย่างเดียว โทษข้อบกพร่อง ความผิดพลาดที่เกิดจากความประมาทในการดำเนินชีวิต อาจมีบ้างในบางครั้ง เช่นจากคนที่เคยนอนตื่นเช้าก็กลายเป็นคนนอนตื่นสาย จากคนที่เคยซื่อสัตย์สุจริตก็กลายเป็นคนคดโกงโกหกหลอกลวง จากคนที่เคยขยันหมั่นเพียรก็กลายเป็นคนเกียจคร้าน จากคนที่มีความรับผิดชอบก็กลายเป็นคนเหลวไหล จากคนที่เคยน่าไว้ใจก็กลายเป็นคนไม่น่าไว้ใจ จากคนที่เคยมีน้ำใจเอื้อเฟื้อแก่คนทั่วไปก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว กล่าวโดยสรุปก็คือจากเดิมที่เคยเป็นคนดีก็กลายเป็นคนไม่ดี เหล่านี้ล้วนมีผลเสียโดยตรงต่อตนเอง และอาจมีผลเกี่ยวเนื่องต่อบุคคลอื่นขยายผลเสียไปสู่สังคมได้ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ผู้ปรารถนาดี เมื่อมองเห็นโทษอันจะเกิดขึ้น จึงควรว่ากล่าวตักเตือน แนะนำด้วยการพูดแต่สิ่งที่ดี พูดกันด้วยความรักความปรารถนาดี รู้จักการพูดให้กำลังใจกันและกัน และในยามที่มีใครต้องล้มลง ต้องพบกับความทุกข์ ความผิดหวังหรือความเศร้าหมองต่างๆ ต้องไม่มีการพูดจาซ้ำเติมกัน ไม่นินทาว่าร้ายกันทั้งต่อหน้าและ ลับหลัง พร้อมทั้งให้กำลังใจ แนะนำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ให้แก่กัน สังคมจะพบกับความสงบสุขแน่ คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด บทความโดย พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. 9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร ขอบคุณ... http://goo.gl/vzjeDv
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)