ลำดับเหตุการณ์สำคัญ คดีประวัติศาสตร์'ปราสาทพระวิหาร'
จุดเริ่มต้นระหว่างข้อพิพาทไทยกัมพูชาบนพื้นที่ทับซ้อน
ปี 2450 จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ให้ไทยยอมเขียนแผนที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ในการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติม รัฐบาลไทยก็ยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นมาแต่โดยดีโดยมิได้ทักท้วง
ปี พ.ศ. 2483 เกิดสงครามพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้นในปี พ.ศ. 2484 ประเทศไทยญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสคืน 4จังหวัด ให้ไทยปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทยอย่างสมบูรณ์
24 พฤศจิกายน 2501 เจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชาตัดความสัมพันธ์กับไทยหลังกัมพูชาได้รับเอกราชจาก ฝรั่งเศส จึงเริ่มมีข้อขัดแย้งเรื่องเขตแดนรอยต่อระหว่างไทยกับกัมพูชา
วันที่ 6 ตุลาคม 2502 รัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชา ภายใต้การหนุนหลังของฝรั่งเศส ได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ขอให้ไทยถอนกองกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร และขอให้ศาลชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารคืน ยื่นฟ้องทั้งหมด 73 ครั้ง
วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกได้ตัดสินให้อธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา ด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง โดยบริเวณดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่
วัน ที่ 3 กรกฎาคม 2505 รัฐบาลไทยแถลงต่อประชาชนแสดงความไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาล แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลก็ยังแถลงว่าในฐานะที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติจะปฏิบัติตามพันธกรณีที่ ตนมีอยู่ตามคำพิพากษา
-6 กรกฎาคม 2505 นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือถึงนายอูถั่น รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติประกาศจุดยืนและว่าไม่เห็นด้วยและขอคัดคัานคํา พิพากษาและตั้งขอสงวนซึ่งมีผลตลอดไปโดยไม่จํากัดเวลาเกี่ยวกับสิทธิที่มี อยู่และจะพึงมีในการครอบครองปราสาทพระวิหารในอนาคตตามกระบวนการที่ชอบด้วย กฎหมาย ขอสงวนดังกล่าวมีผลบังคับจนถึงปัจจุบันโดยมิได้มีการขาดอายุความ
-12 กรกฎาคม 2505 มติ ครม.ยอมถอนกำลังทหารยกอาณาเขตเขาพระวิหารให้กัมพูชาและยกเสาทั้งต้นลงมา โดยไม่ยอมลดธงและระดมชาวบ้านภูมิซรอลไปขึงลวดหนามกั้น
-15 กรกฎาคม 2505 รัฐบาลไทยได้ประกาศห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปล่วงล้ำในพื้นที่เขาพระวิหาร
-14 มิถุนายน 2543 ประธาน คณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วมฯ ของทั้งสองฝ่าย คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย และนายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนกัมพูชา ได้ลงนามใน บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู 43)
-8 มีนาคม 2548 กัมพูชาได้เสนอต่อองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ปี 2549
-18 มิถุนายน 2551 กระทรวงการต่างประเทศ ที่มีนายนพดล ปัทมะ เป็น รมว.ออกแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยกัมพูชาฝ่ายเดียวโดยไทยให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่
-28 มิถุนายน 2551 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติการดำเนินการตามมติ ครม.ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียน ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด หรือ ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
- 8 กรกฎาคม 2551 องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เฉพาะเพียงตัวปราสาทเท่านั้น
- 4 กุมภาพันธ์ 2554 ทหารไทยกับทหารกัมพูชาปะทะกันที่ภูมะเขือใกล้กับเขาพระวิหาร
- 28 เมษายน 2554 กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชายื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505
- 21 พฤศจิกายน 2554 ไทยได้ยื่นข้อสังเกตต่อศาลโลกไม่มีอำนาจและไม่สามารถรับคดีไว้พิจารณาได้ หรือถ้ามีอำนาจ ก็ไม่สามารถตีความในคำพิพากษาเดิมได้ และขอให้ศาลตัดสินว่า คำพิพากษาเดิมไม่มีการตัดสินเรื่องเขตแดน
- 15-19 เมษายน 2556 ศาลโลกได้นัดทั้งสองประเทศแถลงด้วยวาจา ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝ่ายไทยนำโดย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์
-11 พฤศจิกายน 2556 ศาลโลก นัดอ่านคำตัดสินคดีประวัติศาสตร์" ปราสาทพระวิหาร" ผลคือ....??
ขอบคุณ... http://m.thairath.co.th/content/pol/380011
(ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 11 พ.ย.56)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
จุดเริ่มต้นระหว่างข้อพิพาทไทยกัมพูชาบนพื้นที่ทับซ้อน จุดเริ่มต้นระหว่างข้อพิพาทไทยกัมพูชาบนพื้นที่ทับซ้อน ปี 2450 จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ให้ไทยยอมเขียนแผนที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ในการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติม รัฐบาลไทยก็ยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นมาแต่โดยดีโดยมิได้ทักท้วง ปี พ.ศ. 2483 เกิดสงครามพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้นในปี พ.ศ. 2484 ประเทศไทยญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสคืน 4จังหวัด ให้ไทยปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทยอย่างสมบูรณ์ ปราสาทพระวิหาร 24 พฤศจิกายน 2501 เจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชาตัดความสัมพันธ์กับไทยหลังกัมพูชาได้รับเอกราชจาก ฝรั่งเศส จึงเริ่มมีข้อขัดแย้งเรื่องเขตแดนรอยต่อระหว่างไทยกับกัมพูชา วันที่ 6 ตุลาคม 2502 รัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชา ภายใต้การหนุนหลังของฝรั่งเศส ได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ขอให้ไทยถอนกองกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร และขอให้ศาลชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารคืน ยื่นฟ้องทั้งหมด 73 ครั้ง วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกได้ตัดสินให้อธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา ด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง โดยบริเวณดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่ รัฐบาลไทยแถลงต่อประชาชนแสดงความไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาล วัน ที่ 3 กรกฎาคม 2505 รัฐบาลไทยแถลงต่อประชาชนแสดงความไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาล แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลก็ยังแถลงว่าในฐานะที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติจะปฏิบัติตามพันธกรณีที่ ตนมีอยู่ตามคำพิพากษา -6 กรกฎาคม 2505 นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือถึงนายอูถั่น รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติประกาศจุดยืนและว่าไม่เห็นด้วยและขอคัดคัานคํา พิพากษาและตั้งขอสงวนซึ่งมีผลตลอดไปโดยไม่จํากัดเวลาเกี่ยวกับสิทธิที่มี อยู่และจะพึงมีในการครอบครองปราสาทพระวิหารในอนาคตตามกระบวนการที่ชอบด้วย กฎหมาย ขอสงวนดังกล่าวมีผลบังคับจนถึงปัจจุบันโดยมิได้มีการขาดอายุความ -12 กรกฎาคม 2505 มติ ครม.ยอมถอนกำลังทหารยกอาณาเขตเขาพระวิหารให้กัมพูชาและยกเสาทั้งต้นลงมา โดยไม่ยอมลดธงและระดมชาวบ้านภูมิซรอลไปขึงลวดหนามกั้น -15 กรกฎาคม 2505 รัฐบาลไทยได้ประกาศห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปล่วงล้ำในพื้นที่เขาพระวิหาร -14 มิถุนายน 2543 ประธาน คณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วมฯ ของทั้งสองฝ่าย คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย และนายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนกัมพูชา ได้ลงนามใน บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู 43) -8 มีนาคม 2548 กัมพูชาได้เสนอต่อองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ปี 2549 -18 มิถุนายน 2551 กระทรวงการต่างประเทศ ที่มีนายนพดล ปัทมะ เป็น รมว.ออกแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยกัมพูชาฝ่ายเดียวโดยไทยให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติการดำเนินการตามมติ ครม. -28 มิถุนายน 2551 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติการดำเนินการตามมติ ครม.ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียน ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด หรือ ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น - 8 กรกฎาคม 2551 องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เฉพาะเพียงตัวปราสาทเท่านั้น - 4 กุมภาพันธ์ 2554 ทหารไทยกับทหารกัมพูชาปะทะกันที่ภูมะเขือใกล้กับเขาพระวิหาร - 28 เมษายน 2554 กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชายื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 แผนที่แบ่งเขตแดน ไทย-กัมพูชา - 21 พฤศจิกายน 2554 ไทยได้ยื่นข้อสังเกตต่อศาลโลกไม่มีอำนาจและไม่สามารถรับคดีไว้พิจารณาได้ หรือถ้ามีอำนาจ ก็ไม่สามารถตีความในคำพิพากษาเดิมได้ และขอให้ศาลตัดสินว่า คำพิพากษาเดิมไม่มีการตัดสินเรื่องเขตแดน - 15-19 เมษายน 2556 ศาลโลกได้นัดทั้งสองประเทศแถลงด้วยวาจา ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝ่ายไทยนำโดย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ -11 พฤศจิกายน 2556 ศาลโลก นัดอ่านคำตัดสินคดีประวัติศาสตร์" ปราสาทพระวิหาร" ผลคือ....?? ขอบคุณ... http://m.thairath.co.th/content/pol/380011 (ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 11 พ.ย.56)
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)