ส.ว.สรรหา ซัด"นิคม" ท้าทายอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อเวลา 10.00 น. ในการประชุมวุฒิสภาซึ่งมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ได้หารือว่า จากการให้สัมภาษณ์ของประธานวุฒิสภาเกี่ยวกับการให้ความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ หากมีคำสั่งออกมาให้รัฐสภาระงับการลงมติในวาระ 3 ออกไปก่อนก็จะประสานงานให้ประธานรัฐสภาเปิดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อยืนยัน สิทธิ์ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป ตนคิดว่าเป็นตรงนี้เป็นปัญหาที่จะต้องทบทวนว่าในฐานะประธานเป็นองค์กร นิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญมีอำนาจรองรับไว้ชัดเจน ถือว่าท่านท้ารบกับศาลรัฐธรรมนูญ หมายความว่าต่อไปนี้จะไม่ยอมรับ ซึ่งความจริงท่านได้ลงชื่อร่วมกับส.ส.และส.ว.จำนวน 312 คน ไม่ยอมรับคำร้องตามมาตรา 68 แล้วและครั้งนี้ก็เป็นอีกปรากฎการณ์หนึ่ง หากเป็นอย่างนี้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ท่านก็ไม่ยอมรับหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่จะมีส.ส.ร.ก็จะไม่ยอมรับใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นมีโอกาสที่จะทำให้เกิดปัญหาไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งจะสุ่มเสี่ยงต่อการทำหน้าที่อย่างสง่างาม และสมศักดิศรี จึงขอให้ทบทวนด้วย
ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การที่ประธานวุฒิสภาบอกว่าอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจตุลาการไม่ควรก้าวก่าย กัน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนเห็นด้วยครึ่งหนึ่ง เพราะในมาตรา 68 ซึ่งเป็นบทบัญญัติซึ่งคู่กับมาตรา 69 ที่มีขึ้นเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และควรอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่18-22/2555 วันที่ 13 ก.ค. 55 โดยเฉพาะข้อความสำคัญในหน้า 23 ที่กล่าวว่า "เห็นว่าอำนาจในการก่อตั้งองค์กรสูงสุดทางการเมือง หรืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของประชาชนที่มาโดยตรงในการให้กำเนิดรัฐ ธรรมนูญโดยถือว่าอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญที่ก่อตั้งระบบกฎหมาย และองค์กรทั้งหลายในการใช้อำนาจทางการเมืองการปกครอง เมื่อองค์กรที่ถูกจัดตั้งมีเพียงอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้องค์กรนั้นใช้อำนาจที่ได้ รับมอบหมายมาจากรัฐธรรมนูญนั่นเองกลับไปแก้รัฐธรรมนูญนั้นเหมือนการใช้อำนาจ แก้กฎหมายธรรมดา" ซึ่งเป็นการกล่าวถึงการอำนาจก่อตั้งองค์กรทางการเมือง หรืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นในครั้งแรก สมัยรัชกาลที่ 5 เคยใช้คำว่าอำนาจตั้งแผ่นดิน เป็นอำนาจที่อยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ รัฐสภาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่ไปทำลายหลักการสำคัญที่สถาปนารัฐธรรมนูญ หรืออำนาจตั้งแผ่นดินวางไว้ มาตรา 68 คือบทบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ตรงนี้
นายคำนูณกล่าวว่า ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร คือการทำหน้าที่ ไม่ใช่การแทรกแซงก้าวก่าย การทำงานของรัฐสภา ซึ่งตนจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญก็เพื่อให้เกิดความชัดแจน บรรทัดฐานว่าอย่างไร แค่ไหน คือการกระทำขัดมาตรา 68 หรือคือการกระทำทำลายหลักการสำคัญของการสถาปนารัฐธรรมนูญ หรืออำนาจตั้งแผ่นดินวางไว้ ผมไม่ได้คัดค้านการให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แต่คัดค้านการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติอาจทำให้วุฒิสภาหมดสภาพความป็นสภาตรวจสอบ สภาที่มาขององค์กรอิสระที่เป็นกลาง และสงสัยว่านี่คือการทำลายหลักการสำคัญที่อำนาจตั้งแผ่นดินวางไว้หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไรตนเคารพและจบเพียงแค่นั้น จะไม่มีการยกพวกไปล้อมศาลรัฐธรรมนูญ
ขณะที่น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กล่าวว่า มีเอกสารประชาสัมพันธ์ที่ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาซึ่งมีรายชื่อของสมาชิกรัฐสภาจำนวน 312 คน ที่ระบุว่าไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ได้ใช้หัวเรื่อง และที่อยู่ลงท้ายว่าเป็นคณะรัฐสภา และที่อยู่รัฐสภา ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชนได้ว่าเป็นสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดที่คัด ค้านอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่มีแค่สมาชิกบางส่วนเท่านั้น ประกอบกับที่ประธานวุฒิสภาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐ ธรรมนูญ จึงมองว่าเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะชัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 และมาตรา 123 และขอถามว่าเอกสารดังกล่าวใช้เงินของใคร รัฐสภาใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงอยากให้มีการแก้ไขด้วย
ขอบคุณ... http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=695647&lang=T&cat=
เนชั่นแชลแนลออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 17 ก.ย.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
เมื่อเวลา 10.00 น. ในการประชุมวุฒิสภาซึ่งมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ได้หารือว่า จากการให้สัมภาษณ์ของประธานวุฒิสภาเกี่ยวกับการให้ความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ หากมีคำสั่งออกมาให้รัฐสภาระงับการลงมติในวาระ 3 ออกไปก่อนก็จะประสานงานให้ประธานรัฐสภาเปิดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อยืนยัน สิทธิ์ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป ตนคิดว่าเป็นตรงนี้เป็นปัญหาที่จะต้องทบทวนว่าในฐานะประธานเป็นองค์กร นิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญมีอำนาจรองรับไว้ชัดเจน ถือว่าท่านท้ารบกับศาลรัฐธรรมนูญ หมายความว่าต่อไปนี้จะไม่ยอมรับ ซึ่งความจริงท่านได้ลงชื่อร่วมกับส.ส.และส.ว.จำนวน 312 คน ไม่ยอมรับคำร้องตามมาตรา 68 แล้วและครั้งนี้ก็เป็นอีกปรากฎการณ์หนึ่ง หากเป็นอย่างนี้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ท่านก็ไม่ยอมรับหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่จะมีส.ส.ร.ก็จะไม่ยอมรับใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นมีโอกาสที่จะทำให้เกิดปัญหาไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งจะสุ่มเสี่ยงต่อการทำหน้าที่อย่างสง่างาม และสมศักดิศรี จึงขอให้ทบทวนด้วย ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การที่ประธานวุฒิสภาบอกว่าอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจตุลาการไม่ควรก้าวก่าย กัน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนเห็นด้วยครึ่งหนึ่ง เพราะในมาตรา 68 ซึ่งเป็นบทบัญญัติซึ่งคู่กับมาตรา 69 ที่มีขึ้นเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และควรอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่18-22/2555 วันที่ 13 ก.ค. 55 โดยเฉพาะข้อความสำคัญในหน้า 23 ที่กล่าวว่า "เห็นว่าอำนาจในการก่อตั้งองค์กรสูงสุดทางการเมือง หรืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของประชาชนที่มาโดยตรงในการให้กำเนิดรัฐ ธรรมนูญโดยถือว่าอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญที่ก่อตั้งระบบกฎหมาย และองค์กรทั้งหลายในการใช้อำนาจทางการเมืองการปกครอง เมื่อองค์กรที่ถูกจัดตั้งมีเพียงอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้องค์กรนั้นใช้อำนาจที่ได้ รับมอบหมายมาจากรัฐธรรมนูญนั่นเองกลับไปแก้รัฐธรรมนูญนั้นเหมือนการใช้อำนาจ แก้กฎหมายธรรมดา" ซึ่งเป็นการกล่าวถึงการอำนาจก่อตั้งองค์กรทางการเมือง หรืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นในครั้งแรก สมัยรัชกาลที่ 5 เคยใช้คำว่าอำนาจตั้งแผ่นดิน เป็นอำนาจที่อยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ รัฐสภาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่ไปทำลายหลักการสำคัญที่สถาปนารัฐธรรมนูญ หรืออำนาจตั้งแผ่นดินวางไว้ มาตรา 68 คือบทบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ตรงนี้ นายคำนูณกล่าวว่า ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร คือการทำหน้าที่ ไม่ใช่การแทรกแซงก้าวก่าย การทำงานของรัฐสภา ซึ่งตนจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญก็เพื่อให้เกิดความชัดแจน บรรทัดฐานว่าอย่างไร แค่ไหน คือการกระทำขัดมาตรา 68 หรือคือการกระทำทำลายหลักการสำคัญของการสถาปนารัฐธรรมนูญ หรืออำนาจตั้งแผ่นดินวางไว้ ผมไม่ได้คัดค้านการให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แต่คัดค้านการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติอาจทำให้วุฒิสภาหมดสภาพความป็นสภาตรวจสอบ สภาที่มาขององค์กรอิสระที่เป็นกลาง และสงสัยว่านี่คือการทำลายหลักการสำคัญที่อำนาจตั้งแผ่นดินวางไว้หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไรตนเคารพและจบเพียงแค่นั้น จะไม่มีการยกพวกไปล้อมศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กล่าวว่า มีเอกสารประชาสัมพันธ์ที่ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาซึ่งมีรายชื่อของสมาชิกรัฐสภาจำนวน 312 คน ที่ระบุว่าไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ได้ใช้หัวเรื่อง และที่อยู่ลงท้ายว่าเป็นคณะรัฐสภา และที่อยู่รัฐสภา ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชนได้ว่าเป็นสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดที่คัด ค้านอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่มีแค่สมาชิกบางส่วนเท่านั้น ประกอบกับที่ประธานวุฒิสภาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐ ธรรมนูญ จึงมองว่าเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะชัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 และมาตรา 123 และขอถามว่าเอกสารดังกล่าวใช้เงินของใคร รัฐสภาใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงอยากให้มีการแก้ไขด้วย ขอบคุณ... http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=695647&lang=T&cat= เนชั่นแชลแนลออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 17 ก.ย.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)