อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชี้รัฐบาลทำผิดกฎหมายแล้ว 2 เรื่อง

แสดงความคิดเห็น

นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นองค์ปาฐก

เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ศูนย์ประชุมสถาบันจุฬาภรณ์ สถาบันพัฒนาภาวะผู้นำการปกครองส่วนท้องถิ่น (สพท) ได้มีการจัดเสวนาเรื่อง “ระบบนิติรัฐกับทางออกของประเทศไทย” โดยมีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นองค์ปาฐก โดยได้กล่าวว่า นิติรัฐหมายถึงรัฐที่มีการปกครองโดยยึดหลักกฎหมาย การชนะการเลือกตั้งไม่ได้แปลว่าให้มาบริหารประเทศอย่างเดียว รัฐบาลจะต้องบริหารตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจำเป็นต้องมีมือกฎหมายที่เก่ง มีความรู้ และแก้ปัญหาได้ดีไว้ใกล้ตัว นักกฎหมายที่เก่งควรรู้กฎหมายและผูกโยงกฎหมายหลายฉบับที่เชื่อมโยงกันเพื่อ ให้บริหารถูกต้อง และเพื่อใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ ไม่ใช่เอาช่องโหว่กฎหมายมาหาประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง และต้องบริหารตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่บริหารตามอำเภอใจ รัฐบาลนี้ก็มีมือกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่ที่ออกมามักจะมาคุยโม้ โอ้อวด หนักไปทางคุยมากกว่า พูดเก่ง โม้เก่ง แต่พอเอาจริงเอาจังแล้วไม่ค่อยได้เรื่อง ไม่ว่าจบจากต่างประเทศ หรือเป็น ดร. ซึ่งยิ่งออกมาพูดมากย่อมแสดงความไม่รู้ของตัวเอง

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า ตนฟันธงตอนนี้รัฐบาลทำขัดรัฐธรรมนูญแล้ว 2 เรื่อง แต่ไม่มีกฎหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงไปวินิจฉัย คือ 1.กรณีไม่แถลงผลงานปีละ1 ครั้งต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 วรรคสองที่กำหนดไว้ ตรงนี้ไม่เหมือนศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมันที่มีอำนาจจะเข้าไปตรวจสอบ เรียกไต่สวน หรือออกคำสั่งห้ามได้ โดยที่ไม่ต้องมีคนร้องหากเห็นว่า รัฐบาลหรือรัฐสภากำลังทำผิด นอกจากนี้ ที่น่าหงุดหงิดคือ โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตั้งแต่เดือน ก.พ.55 เมื่อครั้งขอออกเป็น พ.ร.ก.ถือว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ วันนี้ พ.ร.ก.ดังกล่าวออกเป็นพ.ร.บ.แล้ว โดยมาตรา 3 เขียนให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และในวรรคหนึ่งกำหนดให้การกู้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิ.ย.56 แต่จนถึงขณะนี้มีคำยืนยันจากรองปลัดกระทรวงการคลังว่าไปเซ็นสัญญากับ4 ธนาคารแล้ว มีคำถามว่าการกู้เงินตามพ.ร.บ.กำหนดให้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย. 56 การเซ็นสัญญากับธนาคารแล้วว่าถือว่าเป็นกู้หรือยัง ซึ่งตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เขียนไว้ว่าสัญญานี้จะบริบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบ ทรัพย์สินที่ยืม แต่ตอนนี้ถ้าเป็นไปตามที่รองปลัดกระทรวงการคลังบอกว่ายังไม่มีการส่งมอบเงิน จึงเท่ากับว่ายังไม่มีการกู้เงินเกิดขึ้น ปัญหาคือ ถ้าหลังจากเดือนมิ.ย.แล้วธนาคารจะเสี่ยงกล้าให้เงินกับรัฐหรือไม่ เพราะถ้ายึดตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การเสี่ยงให้เงินของธนาคารก็อาจนำมาสู่การไม่ได้รับเงินต้นคืนและดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน รัฐจะเข้าข่ายทำผิดกฎหมาย

“ ผมเป็นห่วงบริษัทอิตาเลี่ยนไทย และเค.วอเตอร์ ไม่ทราบว่าเกาหลีมีแห้วขายไหม ผมแนะนำว่าหากรัฐทวงเงินกู้ตามสัญญาจากธนาคาร วิธีที่ดีที่สุดสำหรับธนาคารคือไม่ส่งมอบเงินให้กับกระทรวงการคลัง แต่ให้กระทรวงการคลังไปฟ้องแพ่งเอา เพราะถ้าให้ก็ไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน” นายวสันต์ กล่าวและว่า นี่คือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ถามว่าปีครึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้มัวไปทำอะไรกันอยู่ มัวแต่ไปเล่นละครพญาเม็งรายหรือไม่ มีคนไปฟ้องศาลปกครอง ศาลปกครองก็มีคำสั่งว่าจะต้องทำรายงานวิจัยศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ก็ไปด่าศาลว่าถ้าน้ำท่วมศาลปกครองต้องรับผิดชอบ บอกได้เลยว่า ถ้าตอนนี้น้ำท่วมขึ้นมาคนที่รับผิดชอบคือรัฐบาลอย่างเดียว เพราะปีกว่า ๆ ไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่ความจริงบ้านเรามีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ต้องทำประชาพิจารณ์ใน โครงการที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี35 และมีรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 67กำหนดว่าโครงการที่มีผลกระทบกับชุมชนต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชน และผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งกรณีก็โยงไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะมีการกู้เงินตามพ.ร.บ.กู้ เงิน 2 ล้านล้านบาท ถามว่าวันนี้จะทำรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ต้องขุดลงใต้ดินผ่านอุทยานฯ ป่าสงวน และชุมชนไหนบ้างรัฐก็ตอบไม่ได้ พูดอย่างเดียวจะเอาเงินกู้ โดยการกู้เงินเอามาทำโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รัฐระบุเป็นโครงการ 7 ปี ถ้าเฉลี่ยรายปีจะต้องใช้งบประมาณปีละ 3 แสนล้านบาท ทำไมไม่กู้ผ่านพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี คำตอบคือ ถ้าทำตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี การยื่นคำขอในแต่ละปีต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน และจะถูกตรวจสอบได้ง่าย จึงเลี่ยงที่จะถูกตรวจสอบ ถือเป็นการขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 169 และถ้าเรื่องนี้ผ่านไปได้ ต่อไปรัฐบาลจะไม่เลือกใช้การกู้ผ่านวิธีการงบประมาณแล้ว

อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ส่วนอีกเรื่องที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าผิด แต่ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคือ กรณที่นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โครงการรับจำนำข้าว เพราะผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 84 (5) ที่บัญญัติเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ว่า นโยบายที่รัฐกำหนดขึ้นต้องให้มีการแข่งขันเสรีเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาด ตัดตอน แต่โครงการรับจำนำข้าวที่ทำกันอยู่ถือว่ารัฐตัดตอนเสียเอง เพราะแท้จริงแล้วไม่ใช่การรับจำนำ แต่เป็นการรับซื้อข้าวทุกเมล็ดจากชาวนา กลายเป็นโรงสีของรัฐเท่านั้นที่มีสิทธิได้ซื้อ แต่โรงสีเอกชนบางรายจะไม่ได้สิทธิรับซื้อ ขัดกับหลักของการรับจำนำ เพราะการจำนำคือ การเอาทรัพย์ไปประกันหนี้กับเจ้าหนี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งต้องมีการไถ่ถอนหรือมีการต่อรอง แต่นี่กลับเป็นการตั้งโต๊ะรับซื้อทั้งหมด ถือเป็นการโกหกตั้งแต่ต้น

อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวด้วยว่า สำหรับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม มีประเด็นอยู่ 3 มาตรา คือ 1.มาตรา 3 วรรคสอง เรื่องหลักนิติธรรม เช่น คดีที่เกิดพิพากษามาแล้ว อยู่ๆ จะยกเลิกมาพิจารณาใหม่ไม่ได้ 2.การออกกฎหมายต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไป จะบังคับใช้กับคนเดียวๆ หรือบางกลุ่มไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญในมาตรา 29 และ3.ในมาตรา30 กำหนดไว้ว่า กฎหมายต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะสถานะของบุคคล ฟันธงเลยผู้ใช้จ้างวาน ผู้โฆษณาก่อให้เกิดความผิด ถ้าจะมีการนิรโทษกรรมจะต้องไปทั้งยวง ดังนั้น การนิรโทษกรรมจะยกเว้นให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ หากออกกฎหมายแล้วยกเว้นแกนนำจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา30 เรื่องนี้หากจะวินิจฉัยไม่ยากเลย.

ขอบคุณ... http://m.dailynews.co.th/politics/231625

เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ก.ย.56

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ก.ย.56
วันที่โพสต์: 9/09/2556 เวลา 04:02:25 ดูภาพสไลด์โชว์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชี้รัฐบาลทำผิดกฎหมายแล้ว 2 เรื่อง

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นองค์ปาฐก เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ศูนย์ประชุมสถาบันจุฬาภรณ์ สถาบันพัฒนาภาวะผู้นำการปกครองส่วนท้องถิ่น (สพท) ได้มีการจัดเสวนาเรื่อง “ระบบนิติรัฐกับทางออกของประเทศไทย” โดยมีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นองค์ปาฐก โดยได้กล่าวว่า นิติรัฐหมายถึงรัฐที่มีการปกครองโดยยึดหลักกฎหมาย การชนะการเลือกตั้งไม่ได้แปลว่าให้มาบริหารประเทศอย่างเดียว รัฐบาลจะต้องบริหารตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจำเป็นต้องมีมือกฎหมายที่เก่ง มีความรู้ และแก้ปัญหาได้ดีไว้ใกล้ตัว นักกฎหมายที่เก่งควรรู้กฎหมายและผูกโยงกฎหมายหลายฉบับที่เชื่อมโยงกันเพื่อ ให้บริหารถูกต้อง และเพื่อใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ ไม่ใช่เอาช่องโหว่กฎหมายมาหาประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง และต้องบริหารตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่บริหารตามอำเภอใจ รัฐบาลนี้ก็มีมือกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่ที่ออกมามักจะมาคุยโม้ โอ้อวด หนักไปทางคุยมากกว่า พูดเก่ง โม้เก่ง แต่พอเอาจริงเอาจังแล้วไม่ค่อยได้เรื่อง ไม่ว่าจบจากต่างประเทศ หรือเป็น ดร. ซึ่งยิ่งออกมาพูดมากย่อมแสดงความไม่รู้ของตัวเอง นายวสันต์ กล่าวอีกว่า ตนฟันธงตอนนี้รัฐบาลทำขัดรัฐธรรมนูญแล้ว 2 เรื่อง แต่ไม่มีกฎหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงไปวินิจฉัย คือ 1.กรณีไม่แถลงผลงานปีละ1 ครั้งต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 วรรคสองที่กำหนดไว้ ตรงนี้ไม่เหมือนศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมันที่มีอำนาจจะเข้าไปตรวจสอบ เรียกไต่สวน หรือออกคำสั่งห้ามได้ โดยที่ไม่ต้องมีคนร้องหากเห็นว่า รัฐบาลหรือรัฐสภากำลังทำผิด นอกจากนี้ ที่น่าหงุดหงิดคือ โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตั้งแต่เดือน ก.พ.55 เมื่อครั้งขอออกเป็น พ.ร.ก.ถือว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ วันนี้ พ.ร.ก.ดังกล่าวออกเป็นพ.ร.บ.แล้ว โดยมาตรา 3 เขียนให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และในวรรคหนึ่งกำหนดให้การกู้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิ.ย.56 แต่จนถึงขณะนี้มีคำยืนยันจากรองปลัดกระทรวงการคลังว่าไปเซ็นสัญญากับ4 ธนาคารแล้ว มีคำถามว่าการกู้เงินตามพ.ร.บ.กำหนดให้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย. 56 การเซ็นสัญญากับธนาคารแล้วว่าถือว่าเป็นกู้หรือยัง ซึ่งตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เขียนไว้ว่าสัญญานี้จะบริบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบ ทรัพย์สินที่ยืม แต่ตอนนี้ถ้าเป็นไปตามที่รองปลัดกระทรวงการคลังบอกว่ายังไม่มีการส่งมอบเงิน จึงเท่ากับว่ายังไม่มีการกู้เงินเกิดขึ้น ปัญหาคือ ถ้าหลังจากเดือนมิ.ย.แล้วธนาคารจะเสี่ยงกล้าให้เงินกับรัฐหรือไม่ เพราะถ้ายึดตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การเสี่ยงให้เงินของธนาคารก็อาจนำมาสู่การไม่ได้รับเงินต้นคืนและดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน รัฐจะเข้าข่ายทำผิดกฎหมาย “ ผมเป็นห่วงบริษัทอิตาเลี่ยนไทย และเค.วอเตอร์ ไม่ทราบว่าเกาหลีมีแห้วขายไหม ผมแนะนำว่าหากรัฐทวงเงินกู้ตามสัญญาจากธนาคาร วิธีที่ดีที่สุดสำหรับธนาคารคือไม่ส่งมอบเงินให้กับกระทรวงการคลัง แต่ให้กระทรวงการคลังไปฟ้องแพ่งเอา เพราะถ้าให้ก็ไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน” นายวสันต์ กล่าวและว่า นี่คือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ถามว่าปีครึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้มัวไปทำอะไรกันอยู่ มัวแต่ไปเล่นละครพญาเม็งรายหรือไม่ มีคนไปฟ้องศาลปกครอง ศาลปกครองก็มีคำสั่งว่าจะต้องทำรายงานวิจัยศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ก็ไปด่าศาลว่าถ้าน้ำท่วมศาลปกครองต้องรับผิดชอบ บอกได้เลยว่า ถ้าตอนนี้น้ำท่วมขึ้นมาคนที่รับผิดชอบคือรัฐบาลอย่างเดียว เพราะปีกว่า ๆ ไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่ความจริงบ้านเรามีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ต้องทำประชาพิจารณ์ใน โครงการที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี35 และมีรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 67กำหนดว่าโครงการที่มีผลกระทบกับชุมชนต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชน และผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งกรณีก็โยงไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะมีการกู้เงินตามพ.ร.บ.กู้ เงิน 2 ล้านล้านบาท ถามว่าวันนี้จะทำรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ต้องขุดลงใต้ดินผ่านอุทยานฯ ป่าสงวน และชุมชนไหนบ้างรัฐก็ตอบไม่ได้ พูดอย่างเดียวจะเอาเงินกู้ โดยการกู้เงินเอามาทำโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รัฐระบุเป็นโครงการ 7 ปี ถ้าเฉลี่ยรายปีจะต้องใช้งบประมาณปีละ 3 แสนล้านบาท ทำไมไม่กู้ผ่านพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี คำตอบคือ ถ้าทำตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี การยื่นคำขอในแต่ละปีต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน และจะถูกตรวจสอบได้ง่าย จึงเลี่ยงที่จะถูกตรวจสอบ ถือเป็นการขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 169 และถ้าเรื่องนี้ผ่านไปได้ ต่อไปรัฐบาลจะไม่เลือกใช้การกู้ผ่านวิธีการงบประมาณแล้ว อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ส่วนอีกเรื่องที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าผิด แต่ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคือ กรณที่นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โครงการรับจำนำข้าว เพราะผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 84 (5) ที่บัญญัติเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ว่า นโยบายที่รัฐกำหนดขึ้นต้องให้มีการแข่งขันเสรีเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาด ตัดตอน แต่โครงการรับจำนำข้าวที่ทำกันอยู่ถือว่ารัฐตัดตอนเสียเอง เพราะแท้จริงแล้วไม่ใช่การรับจำนำ แต่เป็นการรับซื้อข้าวทุกเมล็ดจากชาวนา กลายเป็นโรงสีของรัฐเท่านั้นที่มีสิทธิได้ซื้อ แต่โรงสีเอกชนบางรายจะไม่ได้สิทธิรับซื้อ ขัดกับหลักของการรับจำนำ เพราะการจำนำคือ การเอาทรัพย์ไปประกันหนี้กับเจ้าหนี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งต้องมีการไถ่ถอนหรือมีการต่อรอง แต่นี่กลับเป็นการตั้งโต๊ะรับซื้อทั้งหมด ถือเป็นการโกหกตั้งแต่ต้น อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวด้วยว่า สำหรับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม มีประเด็นอยู่ 3 มาตรา คือ 1.มาตรา 3 วรรคสอง เรื่องหลักนิติธรรม เช่น คดีที่เกิดพิพากษามาแล้ว อยู่ๆ จะยกเลิกมาพิจารณาใหม่ไม่ได้ 2.การออกกฎหมายต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไป จะบังคับใช้กับคนเดียวๆ หรือบางกลุ่มไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญในมาตรา 29 และ3.ในมาตรา30 กำหนดไว้ว่า กฎหมายต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะสถานะของบุคคล ฟันธงเลยผู้ใช้จ้างวาน ผู้โฆษณาก่อให้เกิดความผิด ถ้าจะมีการนิรโทษกรรมจะต้องไปทั้งยวง ดังนั้น การนิรโทษกรรมจะยกเว้นให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ หากออกกฎหมายแล้วยกเว้นแกนนำจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา30 เรื่องนี้หากจะวินิจฉัยไม่ยากเลย. ขอบคุณ... http://m.dailynews.co.th/politics/231625 เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ก.ย.56

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...