วิปรัฐบาลยัน แจงมติแก้รัฐธรรมนูญที่มาส.ว.ถูกต้อง
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า การลงมติโหวตมาตรา 5 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของส.ว.เมื่อคืนวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมาถือเป็นการลงมติให้ความเห็นชอบผ่านมาตราดังกล่าวไปเรียบร้อย แล้ว ไม่ใช่การเสนอขอปิดการอภิปรายตามที่ฝ่ายค้านเข้าใจ ในช่วงนั้นมีผู้เสนอขอปิดการอภิปรายเพราะเห็นว่าอภิปรายมายาวนาน และประเด็นวนเวียนซ้ำซาก ซึ่งนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ที่ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ก็ถามความเห็นที่ประชุมแล้วว่ามีใครเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่ แต่พรรคประชาธิปัตย์มัวแต่ประท้วง ไม่ยอมเสนอญัตติให้มีการเปิดอภิปรายต่อ จึงถือว่าไม่มีใครเห็นเป็นอย่างอื่น ยอมรับการปิดการอภิปราย เมื่อนายนิคมเช็คองค์ประชุมแล้วครบ ก็ถามที่ประชุมว่าใครเห็นด้วยกับร่างแก้ไขของกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ซึ่งที่ประชุมก็ให้ความเห็นชอบ ดังนั้นถือว่าเป็นการโหวตผ่านมาตรา5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐบาล ทำผิดกฎหมายนั้น ก็คงไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรฝ่ายค้านก็จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่เรื่องการทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นเรื่องของสมาชิก ให้ไปเปิดกฎหมายดูได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ ถ้ายังตะแบงอยู่ก็จะเสี่ยงกับศรัทธาของประชาชน เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เคยวินิจฉัยว่าไม่สามารถรวบรัดตัดสิทธิการอภิปรายของสมาชิกที่เข้าชื่อขอแปร ญัตติได้ นายอุดมเดชกล่าวว่า เป็นความเห็นของนายสมศักดิ์ที่อาจจะสับสน ซึ่งจะถูกหรือผิดก็เป็นอีกเรื่อง แม้ผู้สงวนคำแปรญัตติยังอภิปรายไม่ครบทุกคน แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องให้พูดหมดทุกคน ถ้ามีผู้ขอแปรญัตติ 600 คนแล้วต้องได้พูดทุกคนก็คงไม่ต้องออกกฎหมายอะไรแล้ว ที่ผ่านมาเราให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์มามากพอแล้ว แต่ก็ยังอภิปรายวนเวียนซ้ำซาก เราก็ต้องรักษาภาพลักษณ์องค์กรไว้ ไม่ใช่การหักคอลงมติ
ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของส.ว. กล่าวว่า ยืนยันว่าการลงมติโหวตมาตรา 5 เมื่อคืนวันที่ 4ก.ย.ที่ผ่านมาเป็นการลงมติอย่างถูกต้อง ไม่ได้รวบรัด และไม่ขัดรัฐธรรมนูญแน่นอน ซึ่งข้อบังคับการประชุมก็ระบุว่าสมาชิกหรือประธานในที่ประชุมสามารถเสนอขอ ปิดการอภิปรายได้ ถ้าไม่มีใครเห็นเป็นอย่างอื่นก็ให้ลงมติโหวตได้เลย หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการขอปิดการอภิปราย ต้องเสนอญัตติให้เปิดอภิปรายต่อ ไม่สามารถมาอ้างได้ว่าผู้สงวนคำแปรญัตติยังพูดไม่ครบทุกคน เพราะที่ผ่านมาอภิปรายวนเวียนซ้ำซากกันมาตลอด
ขณะที่นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้เสนอญัตติขอปิดการอภิปรายมาตรา 5 นั้น เนื่องจากเห็นว่าการอภิปรายมาตราดังกล่าวแสดงเหตุผลมารอบด้านจนเริ่มซ้ำ ประเด็นจึงเสนอปิดอภิปราย ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน มีผู้รับรองครบถ้วน และเป็นความคิดของตัวเอง ไม่มีใบสั่งจากใคร ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า ยังมีผู้สงวนคำแปรญัตติยังอภิปรายไม่ครบทุกคนนั้น ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ไม่เสนอญัตติขอให้เปิดอภิปรายต่อ มัวแต่ประท้วงกันอยู่ได้
ขอบคุณ... http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=694580
เนชั่นแชลแนลออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 5 ก.ย.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า การลงมติโหวตมาตรา 5 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของส.ว.เมื่อคืนวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมาถือเป็นการลงมติให้ความเห็นชอบผ่านมาตราดังกล่าวไปเรียบร้อย แล้ว ไม่ใช่การเสนอขอปิดการอภิปรายตามที่ฝ่ายค้านเข้าใจ ในช่วงนั้นมีผู้เสนอขอปิดการอภิปรายเพราะเห็นว่าอภิปรายมายาวนาน และประเด็นวนเวียนซ้ำซาก ซึ่งนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ที่ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ก็ถามความเห็นที่ประชุมแล้วว่ามีใครเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่ แต่พรรคประชาธิปัตย์มัวแต่ประท้วง ไม่ยอมเสนอญัตติให้มีการเปิดอภิปรายต่อ จึงถือว่าไม่มีใครเห็นเป็นอย่างอื่น ยอมรับการปิดการอภิปราย เมื่อนายนิคมเช็คองค์ประชุมแล้วครบ ก็ถามที่ประชุมว่าใครเห็นด้วยกับร่างแก้ไขของกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ซึ่งที่ประชุมก็ให้ความเห็นชอบ ดังนั้นถือว่าเป็นการโหวตผ่านมาตรา5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐบาล ทำผิดกฎหมายนั้น ก็คงไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรฝ่ายค้านก็จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่เรื่องการทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นเรื่องของสมาชิก ให้ไปเปิดกฎหมายดูได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ ถ้ายังตะแบงอยู่ก็จะเสี่ยงกับศรัทธาของประชาชน เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เคยวินิจฉัยว่าไม่สามารถรวบรัดตัดสิทธิการอภิปรายของสมาชิกที่เข้าชื่อขอแปร ญัตติได้ นายอุดมเดชกล่าวว่า เป็นความเห็นของนายสมศักดิ์ที่อาจจะสับสน ซึ่งจะถูกหรือผิดก็เป็นอีกเรื่อง แม้ผู้สงวนคำแปรญัตติยังอภิปรายไม่ครบทุกคน แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องให้พูดหมดทุกคน ถ้ามีผู้ขอแปรญัตติ 600 คนแล้วต้องได้พูดทุกคนก็คงไม่ต้องออกกฎหมายอะไรแล้ว ที่ผ่านมาเราให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์มามากพอแล้ว แต่ก็ยังอภิปรายวนเวียนซ้ำซาก เราก็ต้องรักษาภาพลักษณ์องค์กรไว้ ไม่ใช่การหักคอลงมติ ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของส.ว. กล่าวว่า ยืนยันว่าการลงมติโหวตมาตรา 5 เมื่อคืนวันที่ 4ก.ย.ที่ผ่านมาเป็นการลงมติอย่างถูกต้อง ไม่ได้รวบรัด และไม่ขัดรัฐธรรมนูญแน่นอน ซึ่งข้อบังคับการประชุมก็ระบุว่าสมาชิกหรือประธานในที่ประชุมสามารถเสนอขอ ปิดการอภิปรายได้ ถ้าไม่มีใครเห็นเป็นอย่างอื่นก็ให้ลงมติโหวตได้เลย หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการขอปิดการอภิปราย ต้องเสนอญัตติให้เปิดอภิปรายต่อ ไม่สามารถมาอ้างได้ว่าผู้สงวนคำแปรญัตติยังพูดไม่ครบทุกคน เพราะที่ผ่านมาอภิปรายวนเวียนซ้ำซากกันมาตลอด ขณะที่นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้เสนอญัตติขอปิดการอภิปรายมาตรา 5 นั้น เนื่องจากเห็นว่าการอภิปรายมาตราดังกล่าวแสดงเหตุผลมารอบด้านจนเริ่มซ้ำ ประเด็นจึงเสนอปิดอภิปราย ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน มีผู้รับรองครบถ้วน และเป็นความคิดของตัวเอง ไม่มีใบสั่งจากใคร ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า ยังมีผู้สงวนคำแปรญัตติยังอภิปรายไม่ครบทุกคนนั้น ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ไม่เสนอญัตติขอให้เปิดอภิปรายต่อ มัวแต่ประท้วงกันอยู่ได้ ขอบคุณ... http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=694580 เนชั่นแชลแนลออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 5 ก.ย.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)