"อดุลย์"ใช้กฎหมาย-หลักสากล หวั่นม็อบยางบานปลาย ดีเดย์3ก.ย.แตกหัก!
คงเป็นเหตุการณ์บ้านเมืองไทยที่ไม่มีใครอยากให้ความวุ่นวายในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง
การ ชุมนุมเคลื่อนไหวฝ่าฝืนกฎหมายใช้ “กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” เข้าปิดล้อมสถานที่ราชการ ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา ปิดสนามบิน ปิดถนน ปิดทางรถไฟ เป็นความย่อยยับเสียหายภาพรวมประเทศ
การชุมนุมกลุ่มหลากสี เป็นอดีตที่ทำความบอบช้ำอย่างมากให้กับคนไทยทั้งประเทศ
ความ ขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองใช้ความเดือดร้อนคนส่วนใหญ่มาเป็น เครื่องมือต่อรองกดดันทุกรูปแบบ จนเสียหายย่อยยับทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และความเชื่อมั่นของประเทศ
ไม่มีใครได้ประโยชน์จากการชุมนุมนอกจากเป็นการทำลายกันเองของกลุ่มนักการเมือง
ความ เดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมักจะถูกนักการเมืองนำมาเป็นเครื่องมือดิสเครดิต ฝ่ายตรงข้าม ล่าสุดคนไทยต้องลุ้นกับการชุมนุมประท้วงของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางและสวน ปาล์มน้ำมัน ชุมนุมปิดถนนสายเอเชีย บริเวณสี่แยกควนหนองหงส์ และปิดเส้นทางรถไฟใน ต.บ้านตูล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ส่งผลให้เส้นทางคมนาคมในพื้นที่ภาคใต้เป็นอัมพาต ผู้ที่ใช้ถนน รถไฟได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ระบบการขนส่งสินค้าอาหารทะเล ซึ่งเป็นหัวใจหลักของพี่น้องภาคใต้ต้องหยุดชะงักทันที
โรงเรียนในพื้นที่ อ.ชะอวด ต้องปิดการเรียนชั่วคราวทันที 4 โรงเรียน
โรง พยาบาลในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมากกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักเข้า รักษาตัวที่รพ.ประจำจังหวัด และปัญหาขาดแคลนยาและเวชภัณฑ์ เนื่องจากระบบขนส่งในภาคใต้ถูกตัดขาดจากกลุ่มผู้ชุมนุม
ชาวเกษตรกรสวนยางพาราและน้ำมันปาล์ม นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 3 กันยายนนี้
ขยาย พื้นที่ทั่วประเทศ ภาคเหนือที่ จ.อุตรดิตถ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.นครราชสีมา ภาคกลางและภาคตะวันออกมาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล
ข่มขู่ปิดถนนสายหลักทั่วประเทศเพื่อ “ปิดประเทศ” ต่อรองกับฝ่ายรัฐบาล
หลายฝ่ายพยายามหาทางคลี่คลายสถานการณ์ก่อนบานปลาย
นายก สมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมเปิดถนนและเส้นทางรถไฟ กลุ่มชาว อ.ชะอวด ได้ออกมาเคลื่อนไหวอ้างว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนนอกพื้นที่ให้หยุดประท้วงทำความเดือดร้อน ถ้าไม่ทำตามจะมีการระดมพี่น้องชาวอำเภอชะอวดขับไล่ออกนอกพื้นที่
เจ้าหน้าที่ต้องแยกผู้ชุมนุมเป็น 2 ฝ่าย คือ กลุ่มเกษตรกรสวนยางที่ได้รับความเดือดร้อนจริง กับกลุ่มคนนอกพื้นที่เป็นกลุ่มที่เข้ามาชุมนุมเพื่อหวังผลทางการเมือง มีนักการเมืองเข้ามาหนุนหลัง
เป็นเรื่องที่หวั่นบานปลายของกลุ่มมวลชนออกมาประจันหน้ากันเอง
หลายฝ่ายต้องเจรจาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้วยสันติวิธีเพื่อไม่ให้มีเหตุรุนแรง
พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้มอบหมาย พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ยงยุทธ เจริญวานิช ผบช.ภ.8 เข้ามารับผิดชอบการชุมนุมใช้ ศปก.ตร.ติดตามสถานการณ์ของภาค 8 และ ภ.จ.นครศรีธรรมราช กำชับให้ ผบช.ทุกภาคเตรียมพร้อมเพื่อแก้ไขสถานการณ์ชุมนุมทั่วประเทศ
มอบ หมาย พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผบช.ส. ประสาน บก.สส.ทุกภาค ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ใกล้ชิด ใช้กลไกผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เจรจาตามหลักสากล
พล.ต.อ.อดุลย์ได้สั่ง ให้ ผบช.น. ผบช.ภ.3 และ ผบช.ภ.6 เตรียมความพร้อมกำลังพลในการปฏิบัติการรักษาความสงบเรียบร้อย กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมมีการยกระดับการชุมนุมปิดเส้นทางทั่วประเทศ
เป็นการปฏิบัติที่เป็นระบบ ตามขั้นตอนกฎหมาย
ตามนโยบาย ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง ใช้กลไกการเจรจาทำความเข้าใจ ใช้ช่องทางฝ่ายปกครอง ที่อยู่ใกล้ชิดกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อให้ยกเลิกการชุมนุมปิดถนนและเส้นทางรถไฟ
ได้จัดเจ้าหน้าที่ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ใช้ถนนเลี่ยงเส้นทางที่มีการปิดจราจร สืบสวนสอบสวนดำเนิน มาตรการทางกฎหมายกับแกนนำผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย หรือกลุ่มที่ก่อเหตุรุนแรง
มี การกำหนดพื้นที่จัดตั้งจุดตรวจโดยรอบ พื้นที่ชุมนุม ตรวจค้นอาวุธที่อาจจะใช้ก่อเหตุรุนแรงและ “กลุ่มมือที่ 3” ที่คิดฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ หวังผลประโยชน์ทางการเมือง
โดยมอบอำนาจเด็ดขาดให้ ผบช.ภ.8 สั่งกำลังและประเมินสถานการณ์เพื่อความเป็นเอกภาพ
หากรุนแรงเกินกว่าที่จะใช้กฎหมายปกติให้เสนอเพื่อยกระดับการใช้กฎหมายพิเศษ
การชุมนุมเพื่อเรียกร้องความชอบธรรมเป็นเรื่องที่กระทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย
แต่ การปิดถนน ปิดทางรถไฟ ทำให้เกิดความเสียหาย ประชาชนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องได้รับความเดือดร้อน เป็นเรื่องที่เป็นการละเมิดสิทธิคนอื่นและเข้าข่ายต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยเฉพาะกลุ่มแกนนำ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมซึ่งเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายในประเทศ
เป็นการนำมวลชนออกมาเพื่อให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่เพื่อขยายผลเป็นเรื่องการเมือง
ผู้ที่ตกที่นั่งลำบากหลบเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ คือเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติ
ทั้งที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่รักษากฎหมาย รักษากฎกติกาของบ้านเมือง
เป็น ความเดือดร้อนของคนส่วนใหญ่ที่เรียกร้องให้ใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้ ที่ใช้ “กฎหมู่” แม้การปฏิบัติจะเป็นไปตามหลักสากล แต่ทุกครั้งที่มีการใช้กฎหมาย จะมีการเรียกร้องเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ
แต่ไม่เคยดำเนินการกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง “จัดฉาก” นำมวลชนออกมาได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
เป็น ความเจ็บปวดที่อดีตตำรวจหลายคนได้รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม ตำรวจเป็น “เบี้ยล่าง” ของผู้ชุมนุมที่มีการเมืองหนุนหลัง ทั้งที่ได้ทุ่มเทเสียสละทำตามหน้าที่รักษากฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบภาพรวมของประเทศ
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ที่ยังไม่ได้รับความชอบธรรมจากการชุมนุม
เป็นบทเรียนสำคัญของตำรวจในเรื่องการชุมนุมประท้วง…
สถานการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ต่างจากการชุมนุมในอดีตที่ผ่านมา
เป็นการแตกหักของกลุ่มการเมืองที่เอาความเดือดร้อนพี่น้องมาเป็นเครื่องต่อรอง
ต้อง ยอมรับความเป็นนักบริหารของ พล.ต.อ.อดุลย์ ที่ได้ให้ความสำคัญในการปรับยุทธวิธีในการควบคุมฝูงชนตามหลักสากล ที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่รักษาสันติภาพของประเทศต่างๆทั่วโลก
เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ชุมนุมประท้วงทางการเมือง
สิ่งที่ พล.ต.อ.อดุลย์ยืนยันโดยตลอดว่า ผู้ชุมนุมเป็นคนไทยไม่ใช่ศัตรูของตำรวจ
ไม่ต้องการให้เผชิญหน้าโดยตรงระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจ
แต่อาศัยการสืบสวนหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ย้ำกับ “ทีมข่าวอาชญากรรม” ว่า
“การ ชุมนุมเป็นเรื่องที่ยึดหลักสำคัญ 3 เรื่อง คือ หลักการบังคับใช้กฎหมาย หลักนิติธรรมการควบคุมสถานการณ์ปฏิบัติตามขั้นตอนที่เป็นสากล การใช้กำลังเข้าควบคุมเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น มีขั้นตอนใช้กำลังต้องประกาศก่อน และต้องมีความชอบธรรมและสังคมยอมรับได้”
“จะ ต้องเป็นเรื่องที่ทำให้สังคมมีความวุ่นวายสับสน มีความเดือดร้อน กระทบผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศ จำเป็นต้องเข้าแก้ไขสถานการณ์ทันที ในการปฏิบัติกำชับตำรวจให้อดทนอดกลั้นให้มากที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะการชุมนุมเป็นสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ชุมนุมได้ตามกฎหมาย แต่การชุมนุมต้องไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น ฝ่าฝืนกระทำผิดกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย การจับกุมหรือการผลักดันฝูงชนต้องเป็นมาตรฐานสากล และเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักของ UN”
“หลักการชุมนุมในส่วนภูมิภาคตาม กฎหมายเป็นอำนาจของ ผวจ. เป็นผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขปัญหา มีกลไกปกครองท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจ อัยการ ทุกอย่างขึ้นกับ ผวจ. แต่ในส่วนของตำรวจได้มีการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยใช้ ศปก.ตร.เป็นเครื่องมือติดตามประเมินสถานการณ์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติ แก้ไขสถานการณ์ที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น การนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเกษตรกรสวนยางและสวนปาล์มทั่วประเทศ ในวันที่ 3 กันยายน ได้เรียกประชุม ผบช.ภ.6 และ ผบช.ภ.3 ซึ่งเป็นจุดนัดชุมนุม เพื่อเตรียมความพร้อม มีอะไรที่เกี่ยวข้อง บทบาทของตำรวจจะต้องทำให้ดีที่สุด คำนึงถึงความเสียหายของประเทศเป็นหลัก”
เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง ทิศทางการเมืองที่หวังผลแตกหัก ให้เปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เป็นอีกภารกิจที่หนักอึ้งของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ต้องประคับประคองประเทศ.
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/column/region/trialweek/366978
ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 31 ส.ค.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คงเป็นเหตุการณ์บ้านเมืองไทยที่ไม่มีใครอยากให้ความวุ่นวายในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง การ ชุมนุมเคลื่อนไหวฝ่าฝืนกฎหมายใช้ “กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” เข้าปิดล้อมสถานที่ราชการ ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา ปิดสนามบิน ปิดถนน ปิดทางรถไฟ เป็นความย่อยยับเสียหายภาพรวมประเทศ การชุมนุมกลุ่มหลากสี เป็นอดีตที่ทำความบอบช้ำอย่างมากให้กับคนไทยทั้งประเทศ ความ ขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองใช้ความเดือดร้อนคนส่วนใหญ่มาเป็น เครื่องมือต่อรองกดดันทุกรูปแบบ จนเสียหายย่อยยับทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และความเชื่อมั่นของประเทศ ไม่มีใครได้ประโยชน์จากการชุมนุมนอกจากเป็นการทำลายกันเองของกลุ่มนักการเมือง ความ เดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมักจะถูกนักการเมืองนำมาเป็นเครื่องมือดิสเครดิต ฝ่ายตรงข้าม ล่าสุดคนไทยต้องลุ้นกับการชุมนุมประท้วงของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางและสวน ปาล์มน้ำมัน ชุมนุมปิดถนนสายเอเชีย บริเวณสี่แยกควนหนองหงส์ และปิดเส้นทางรถไฟใน ต.บ้านตูล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ส่งผลให้เส้นทางคมนาคมในพื้นที่ภาคใต้เป็นอัมพาต ผู้ที่ใช้ถนน รถไฟได้รับผลกระทบอย่างหนัก ระบบการขนส่งสินค้าอาหารทะเล ซึ่งเป็นหัวใจหลักของพี่น้องภาคใต้ต้องหยุดชะงักทันที โรงเรียนในพื้นที่ อ.ชะอวด ต้องปิดการเรียนชั่วคราวทันที 4 โรงเรียน โรง พยาบาลในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมากกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักเข้า รักษาตัวที่รพ.ประจำจังหวัด และปัญหาขาดแคลนยาและเวชภัณฑ์ เนื่องจากระบบขนส่งในภาคใต้ถูกตัดขาดจากกลุ่มผู้ชุมนุม ชาวเกษตรกรสวนยางพาราและน้ำมันปาล์ม นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 3 กันยายนนี้ กลุ่มม็อบชาวเกษตรกรสวนยางพาราและน้ำมันปาล์ม ขยาย พื้นที่ทั่วประเทศ ภาคเหนือที่ จ.อุตรดิตถ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.นครราชสีมา ภาคกลางและภาคตะวันออกมาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ข่มขู่ปิดถนนสายหลักทั่วประเทศเพื่อ “ปิดประเทศ” ต่อรองกับฝ่ายรัฐบาล หลายฝ่ายพยายามหาทางคลี่คลายสถานการณ์ก่อนบานปลาย นายก สมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมเปิดถนนและเส้นทางรถไฟ กลุ่มชาว อ.ชะอวด ได้ออกมาเคลื่อนไหวอ้างว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนนอกพื้นที่ให้หยุดประท้วงทำความเดือดร้อน ถ้าไม่ทำตามจะมีการระดมพี่น้องชาวอำเภอชะอวดขับไล่ออกนอกพื้นที่ เจ้าหน้าที่ต้องแยกผู้ชุมนุมเป็น 2 ฝ่าย คือ กลุ่มเกษตรกรสวนยางที่ได้รับความเดือดร้อนจริง กับกลุ่มคนนอกพื้นที่เป็นกลุ่มที่เข้ามาชุมนุมเพื่อหวังผลทางการเมือง มีนักการเมืองเข้ามาหนุนหลัง เป็นเรื่องที่หวั่นบานปลายของกลุ่มมวลชนออกมาประจันหน้ากันเอง หลายฝ่ายต้องเจรจาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้วยสันติวิธีเพื่อไม่ให้มีเหตุรุนแรง พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้มอบหมาย พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ยงยุทธ เจริญวานิช ผบช.ภ.8 เข้ามารับผิดชอบการชุมนุมใช้ ศปก.ตร.ติดตามสถานการณ์ของภาค 8 และ ภ.จ.นครศรีธรรมราช กำชับให้ ผบช.ทุกภาคเตรียมพร้อมเพื่อแก้ไขสถานการณ์ชุมนุมทั่วประเทศ ม็อบสวนยางพาราประท้วงใช้รถบรรทุกขวางรางรถไฟ มอบ หมาย พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผบช.ส. ประสาน บก.สส.ทุกภาค ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ใกล้ชิด ใช้กลไกผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เจรจาตามหลักสากล พล.ต.อ.อดุลย์ได้สั่ง ให้ ผบช.น. ผบช.ภ.3 และ ผบช.ภ.6 เตรียมความพร้อมกำลังพลในการปฏิบัติการรักษาความสงบเรียบร้อย กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมมีการยกระดับการชุมนุมปิดเส้นทางทั่วประเทศ เป็นการปฏิบัติที่เป็นระบบ ตามขั้นตอนกฎหมาย ตามนโยบาย ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง ใช้กลไกการเจรจาทำความเข้าใจ ใช้ช่องทางฝ่ายปกครอง ที่อยู่ใกล้ชิดกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อให้ยกเลิกการชุมนุมปิดถนนและเส้นทางรถไฟ ได้จัดเจ้าหน้าที่ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ใช้ถนนเลี่ยงเส้นทางที่มีการปิดจราจร สืบสวนสอบสวนดำเนิน มาตรการทางกฎหมายกับแกนนำผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย หรือกลุ่มที่ก่อเหตุรุนแรง มี การกำหนดพื้นที่จัดตั้งจุดตรวจโดยรอบ พื้นที่ชุมนุม ตรวจค้นอาวุธที่อาจจะใช้ก่อเหตุรุนแรงและ “กลุ่มมือที่ 3” ที่คิดฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ หวังผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมอบอำนาจเด็ดขาดให้ ผบช.ภ.8 สั่งกำลังและประเมินสถานการณ์เพื่อความเป็นเอกภาพ หากรุนแรงเกินกว่าที่จะใช้กฎหมายปกติให้เสนอเพื่อยกระดับการใช้กฎหมายพิเศษ การชุมนุมเพื่อเรียกร้องความชอบธรรมเป็นเรื่องที่กระทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่ การปิดถนน ปิดทางรถไฟ ทำให้เกิดความเสียหาย ประชาชนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องได้รับความเดือดร้อน เป็นเรื่องที่เป็นการละเมิดสิทธิคนอื่นและเข้าข่ายต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มแกนนำ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมซึ่งเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายในประเทศ กลุ่มม็อบชาวเกษตรกรสวนยางพาราและน้ำมันปาล์ม เป็นการนำมวลชนออกมาเพื่อให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่เพื่อขยายผลเป็นเรื่องการเมือง ผู้ที่ตกที่นั่งลำบากหลบเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ คือเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติ ทั้งที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่รักษากฎหมาย รักษากฎกติกาของบ้านเมือง เป็น ความเดือดร้อนของคนส่วนใหญ่ที่เรียกร้องให้ใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้ ที่ใช้ “กฎหมู่” แม้การปฏิบัติจะเป็นไปตามหลักสากล แต่ทุกครั้งที่มีการใช้กฎหมาย จะมีการเรียกร้องเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ แต่ไม่เคยดำเนินการกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง “จัดฉาก” นำมวลชนออกมาได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เป็น ความเจ็บปวดที่อดีตตำรวจหลายคนได้รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม ตำรวจเป็น “เบี้ยล่าง” ของผู้ชุมนุมที่มีการเมืองหนุนหลัง ทั้งที่ได้ทุ่มเทเสียสละทำตามหน้าที่รักษากฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบภาพรวมของประเทศ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ที่ยังไม่ได้รับความชอบธรรมจากการชุมนุม เป็นบทเรียนสำคัญของตำรวจในเรื่องการชุมนุมประท้วง… สถานการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ต่างจากการชุมนุมในอดีตที่ผ่านมา เป็นการแตกหักของกลุ่มการเมืองที่เอาความเดือดร้อนพี่น้องมาเป็นเครื่องต่อรอง ต้อง ยอมรับความเป็นนักบริหารของ พล.ต.อ.อดุลย์ ที่ได้ให้ความสำคัญในการปรับยุทธวิธีในการควบคุมฝูงชนตามหลักสากล ที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่รักษาสันติภาพของประเทศต่างๆทั่วโลก เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ชุมนุมประท้วงทางการเมือง สิ่งที่ พล.ต.อ.อดุลย์ยืนยันโดยตลอดว่า ผู้ชุมนุมเป็นคนไทยไม่ใช่ศัตรูของตำรวจ ไม่ต้องการให้เผชิญหน้าโดยตรงระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจ แต่อาศัยการสืบสวนหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ย้ำกับ “ทีมข่าวอาชญากรรม” ว่า “การ ชุมนุมเป็นเรื่องที่ยึดหลักสำคัญ 3 เรื่อง คือ หลักการบังคับใช้กฎหมาย หลักนิติธรรมการควบคุมสถานการณ์ปฏิบัติตามขั้นตอนที่เป็นสากล การใช้กำลังเข้าควบคุมเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น มีขั้นตอนใช้กำลังต้องประกาศก่อน และต้องมีความชอบธรรมและสังคมยอมรับได้” “จะ ต้องเป็นเรื่องที่ทำให้สังคมมีความวุ่นวายสับสน มีความเดือดร้อน กระทบผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศ จำเป็นต้องเข้าแก้ไขสถานการณ์ทันที ในการปฏิบัติกำชับตำรวจให้อดทนอดกลั้นให้มากที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะการชุมนุมเป็นสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ชุมนุมได้ตามกฎหมาย แต่การชุมนุมต้องไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น ฝ่าฝืนกระทำผิดกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย การจับกุมหรือการผลักดันฝูงชนต้องเป็นมาตรฐานสากล และเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักของ UN” “หลักการชุมนุมในส่วนภูมิภาคตาม กฎหมายเป็นอำนาจของ ผวจ. เป็นผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขปัญหา มีกลไกปกครองท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจ อัยการ ทุกอย่างขึ้นกับ ผวจ. แต่ในส่วนของตำรวจได้มีการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยใช้ ศปก.ตร.เป็นเครื่องมือติดตามประเมินสถานการณ์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติ แก้ไขสถานการณ์ที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น การนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเกษตรกรสวนยางและสวนปาล์มทั่วประเทศ ในวันที่ 3 กันยายน ได้เรียกประชุม ผบช.ภ.6 และ ผบช.ภ.3 ซึ่งเป็นจุดนัดชุมนุม เพื่อเตรียมความพร้อม มีอะไรที่เกี่ยวข้อง บทบาทของตำรวจจะต้องทำให้ดีที่สุด คำนึงถึงความเสียหายของประเทศเป็นหลัก” เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง ทิศทางการเมืองที่หวังผลแตกหัก ให้เปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นอีกภารกิจที่หนักอึ้งของ พล.ต.อ.อดุลย์
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)