ท่าทีกรรมการสิทธิฯ กรณีใช้ พ.ร.บ.มั่นคง-พ.ร.บ.คอมฯ-นิรโทษฯ

แสดงความคิดเห็น

(8 ส.ค.56) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติออกแถลงการณ์ เรื่อง กรณีมีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนอันเกิด จากการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง และการดำเนินการของกระบวนการทางนิติบัญญัติในการตรากฎหมายนิรโทษกรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

เรื่อง กรณีมีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนอันเกิด จากการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง และการดำเนินการของกระบวนการทางนิติบัญญัติในการตรากฎหมายนิรโทษกรรม

ตาม ที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในเขตพื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเขตดุสิต กทม.ระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคม 2556 โดยให้เหตุผลว่ามีสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงและมีแนวโน้มจะยืดเยื้อ เป็นเวลายาวนาน เนื่องจากจะมีการชุมนุมของประชาชนที่ออกมาคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรม โดยมอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย ซึ่งต่อมาก็ได้มีประกาศห้ามบุคคลเข้าออกบริเวณรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล

คณะ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้แทนกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณและคณะ เสนาธิการร่วม เรื่อง ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีการประกาศ การบังคับใช้ การปฏิบัติหน้าที่ที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี, คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย พนักงานเจ้าหน้าที่ คณะที่ปรึกษา, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเจ้าหน้าที่ตำรวจ, เจ้าหน้าที่รัฐอื่นที่เกี่ยวข้องว่าละเมิดต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมถึงคำร้องเรียนเพื่อขอให้ตรวจสอบในกรณีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ นั้น ในการตรวจสอบตามบทบาทอำนาจหน้าที่ของ กสม.ในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตระหนักดีว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและพระราช บัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่ได้ให้อำนาจไว้ ในการนี้ได้มอบหมายให้ กสม.บางท่าน และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองตรวจสอบใน เรื่องนี้โดยได้มีการลงพื้นที่การชุมนุมด้วย

ในเบื้อง ต้น กสม.ได้รับทราบถึงการดำเนินการของคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทาง การเมือง ตามที่ขอแถลงท่าทีต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้

1. ประชาชนผู้ชุมนุมย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ข้อ 21 โดยรัฐบาลจะนำมากล่าวอ้างว่า การใช้เสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนดังกล่าว เป็นเงื่อนไขของกฎหมายที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐบาลไม่ได้ และการที่รัฐบาลใช้มาตรการตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรต่อ ผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไป เช่น การจำกัดพื้นที่ในการเดินทาง หรือการจำกัดช่องทางในการติดตามข้อมูลข่าวสาร จึงเป็นมาตรการที่มีผลเป็นการละเมิดและยับยั้งการใช้สิทธิและเสรีภาพ และลิดรอนการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชน

เนื่อง จากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวปัญหาการ ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ที่มีลักษณะกระทบสิทธิและเสรีภาพอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตลอดระยะ เวลา 5 – 6 ปีที่ผ่านมา โดย กสม.พบว่า มาตรา 15 ของพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ที่ให้อำนาจรัฐบาลในการประกาศใช้กฎหมายนี้ได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่เป็นเวลานาน ทั้งไม่สามารถแก้ได้ด้วยอำนาจหน้าที่ หรือความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ตามปกติ ดังนั้น การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงต้องมีเหตุเกิดขึ้นก่อน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน แต่การที่รัฐบาลอ้างเหตุเพียงว่า การชุมนุมของประชาชนหรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเป็นเหตุการณ์อันกระทบ ต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งยังไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่อย่างใด จึงเป็นการใช้อำนาจเกินความจำเป็น และเกินสมควรแก่เหตุ เนื่องจากกลไกตามกฎหมายที่มีอยู่ตามปกติก็เพียงพอที่รัฐจะสามารถจัดการให้ การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญได้อยู่แล้ว จึงไม่มีเงื่อนไขเพียงพอที่จะประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงแต่อย่างใด การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงของรัฐบาลจึงมีลักษณะละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองและคุ้มครองไว้ กสม.จึงใคร่ขอให้รัฐบาลพิจารณายกเลิกประกาศกฎหมายดังกล่าวโดยทันที และให้ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมโดยยึดหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม และหลักการแห่งการเคารพสิทธิมนุษยชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

2. กสม.ขอแสดงความกังวลต่อการใช้อำนาจรัฐที่มีการกล่าวหาว่า มีลักษณะคุกคามต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ดังเช่น กรณีเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐจะเรียกตัวนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และนายเดชาธร ธีรพิริยะ แกนนำคนเสื้อแดงจังหวัดชลบุรี ที่ใช้นามแฝงว่า ปุ๊ ชลบุรี นักสู้ธุลีดิน นางสาววารุณี คำดวงศรี และผู้ใช้นามแฝงว่า Yo Onsine อดีตผู้ร่วมถ่ายทำรายการแดดร่มชมตลาดผู้โพสต์ข้อความในลักษณะจะมีการปฏิวัติ รัฐประหาร และขอให้ประชาชนกักตุนน้ำและอาหารให้พร้อม ผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก มาสอบสวน ซึ่งหากพบว่ากระทำผิดจริง พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแก่กฎหมายแผ่นดิน เกิดความปั่นป่วน ซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร ซึ่งการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวต้องตั้งอยู่ในสมมุติฐานแห่งความชอบธรรม สมเหตุสมผล และมีความยุติธรรม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปในกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างเคร่งครัด

3. กรณีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 ฉบับของนายวรชัย เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจังหวัดสมุทรปราการกับคณะเป็นผู้เสนอ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรกำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้ นั้น กสม.เห็นว่าเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนต่อการดำเนินการตามหลักนิติรัฐและ หลักนิติธรรมตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ อาจนำมาซึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ ดำเนินการของรัฐและบุคคลที่มีส่วนสร้างสถานการณ์ความรุนแรงต่อชีวิตและร่าง กายของผู้อื่น อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งประเด็นนี้ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้มีความเห็นแถลงต่อกรณีดังกล่าวว่า ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งกำลังพิจารณาในที่ประชุมสภาในขณะนี้อาจเป็นการไม่ ชอบ และเรียกร้องรัฐบาลไทยว่า ควรจะต้องแน่ใจว่าการนิรโทษกรรมใดๆ ก็ตาม จะต้องไม่รวมไปถึงผู้ที่จะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และใช้มาตรการเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าว และรัฐบาลไทยจะสร้างเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญ หากยังปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนของไทยเอง รวมถึงคุมตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน และผู้ได้รับบาดเจ็บในระหว่างชุมนุมประท้วงดังกล่าว

ดังนั้น กฎหมายนิรโทษกรรมควรออกมาในสภาวการณ์ที่สุกงอมในเรื่องการทำให้สิทธิการรับ รู้ความเป็นจริงปรากฏต่อสาธารณชน และนำไปสู่การได้ข้อสรุปในความเป็นจริงที่เข้าใจและยอมรับในเรื่องการไม่เอา ผิดต่อประชาชนที่เข้ามาใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ดังนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการทางนิติบัญญัติสมควรพิจารณาข้อเรียกร้องที่ ให้มีการชะลอการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว แล้วเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อ ร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างกว้างขวางและทั่วถึง อันนำไปสู่การลดเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นของสังคมและประชาชน ในชาติในฐานะที่เป็นพลเมืองไทย

4. กรณีการงดการถ่ายทอดสดการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ของสภาผู้แทนราษฎรทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 NBT นั้น กสม.เห็นว่า กรณีนี้เป็นความจำเป็นที่มีประชาชนให้ความสนใจติดตามการดำเนินการของกระบวน การนิติบัญญัติของประเทศ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสมควรจัดให้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ให้กว้าง ขวาง เพื่อให้เสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ของประชาชนบรรลุผลในทางปฏิบัติ จึงขอเรียกร้องมายังรัฐบาลและรัฐสภาได้พิจารณาจัดให้มีถ่ายทอดสดทางช่อง 11 NBT เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้โดยง่าย

ขอบคุณ... http://www.prachatai.com/journal/2013/08/48087 (ขนาดไฟล์: 167)

ประชาไทยออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ส.ค.56

ที่มา: ประชาไทยออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ส.ค.56
วันที่โพสต์: 9/08/2556 เวลา 03:11:13

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

(8 ส.ค.56) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติออกแถลงการณ์ เรื่อง กรณีมีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนอันเกิด จากการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง และการดำเนินการของกระบวนการทางนิติบัญญัติในการตรากฎหมายนิรโทษกรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้ แถลงการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง กรณีมีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนอันเกิด จากการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง และการดำเนินการของกระบวนการทางนิติบัญญัติในการตรากฎหมายนิรโทษกรรม ตาม ที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในเขตพื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเขตดุสิต กทม.ระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคม 2556 โดยให้เหตุผลว่ามีสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงและมีแนวโน้มจะยืดเยื้อ เป็นเวลายาวนาน เนื่องจากจะมีการชุมนุมของประชาชนที่ออกมาคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรม โดยมอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย ซึ่งต่อมาก็ได้มีประกาศห้ามบุคคลเข้าออกบริเวณรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล คณะ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้แทนกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณและคณะ เสนาธิการร่วม เรื่อง ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีการประกาศ การบังคับใช้ การปฏิบัติหน้าที่ที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี, คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย พนักงานเจ้าหน้าที่ คณะที่ปรึกษา, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเจ้าหน้าที่ตำรวจ, เจ้าหน้าที่รัฐอื่นที่เกี่ยวข้องว่าละเมิดต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมถึงคำร้องเรียนเพื่อขอให้ตรวจสอบในกรณีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ นั้น ในการตรวจสอบตามบทบาทอำนาจหน้าที่ของ กสม.ในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตระหนักดีว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและพระราช บัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่ได้ให้อำนาจไว้ ในการนี้ได้มอบหมายให้ กสม.บางท่าน และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองตรวจสอบใน เรื่องนี้โดยได้มีการลงพื้นที่การชุมนุมด้วย ในเบื้อง ต้น กสม.ได้รับทราบถึงการดำเนินการของคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทาง การเมือง ตามที่ขอแถลงท่าทีต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้ 1. ประชาชนผู้ชุมนุมย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ข้อ 21 โดยรัฐบาลจะนำมากล่าวอ้างว่า การใช้เสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนดังกล่าว เป็นเงื่อนไขของกฎหมายที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐบาลไม่ได้ และการที่รัฐบาลใช้มาตรการตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรต่อ ผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไป เช่น การจำกัดพื้นที่ในการเดินทาง หรือการจำกัดช่องทางในการติดตามข้อมูลข่าวสาร จึงเป็นมาตรการที่มีผลเป็นการละเมิดและยับยั้งการใช้สิทธิและเสรีภาพ และลิดรอนการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชน เนื่อง จากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวปัญหาการ ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ที่มีลักษณะกระทบสิทธิและเสรีภาพอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตลอดระยะ เวลา 5 – 6 ปีที่ผ่านมา โดย กสม.พบว่า มาตรา 15 ของพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ที่ให้อำนาจรัฐบาลในการประกาศใช้กฎหมายนี้ได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่เป็นเวลานาน ทั้งไม่สามารถแก้ได้ด้วยอำนาจหน้าที่ หรือความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ตามปกติ ดังนั้น การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงต้องมีเหตุเกิดขึ้นก่อน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน แต่การที่รัฐบาลอ้างเหตุเพียงว่า การชุมนุมของประชาชนหรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเป็นเหตุการณ์อันกระทบ ต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งยังไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่อย่างใด จึงเป็นการใช้อำนาจเกินความจำเป็น และเกินสมควรแก่เหตุ เนื่องจากกลไกตามกฎหมายที่มีอยู่ตามปกติก็เพียงพอที่รัฐจะสามารถจัดการให้ การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญได้อยู่แล้ว จึงไม่มีเงื่อนไขเพียงพอที่จะประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงแต่อย่างใด การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงของรัฐบาลจึงมีลักษณะละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองและคุ้มครองไว้ กสม.จึงใคร่ขอให้รัฐบาลพิจารณายกเลิกประกาศกฎหมายดังกล่าวโดยทันที และให้ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมโดยยึดหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม และหลักการแห่งการเคารพสิทธิมนุษยชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2. กสม.ขอแสดงความกังวลต่อการใช้อำนาจรัฐที่มีการกล่าวหาว่า มีลักษณะคุกคามต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ดังเช่น กรณีเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐจะเรียกตัวนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และนายเดชาธร ธีรพิริยะ แกนนำคนเสื้อแดงจังหวัดชลบุรี ที่ใช้นามแฝงว่า ปุ๊ ชลบุรี นักสู้ธุลีดิน นางสาววารุณี คำดวงศรี และผู้ใช้นามแฝงว่า Yo Onsine อดีตผู้ร่วมถ่ายทำรายการแดดร่มชมตลาดผู้โพสต์ข้อความในลักษณะจะมีการปฏิวัติ รัฐประหาร และขอให้ประชาชนกักตุนน้ำและอาหารให้พร้อม ผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก มาสอบสวน ซึ่งหากพบว่ากระทำผิดจริง พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแก่กฎหมายแผ่นดิน เกิดความปั่นป่วน ซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร ซึ่งการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวต้องตั้งอยู่ในสมมุติฐานแห่งความชอบธรรม สมเหตุสมผล และมีความยุติธรรม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปในกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างเคร่งครัด 3. กรณีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 ฉบับของนายวรชัย เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจังหวัดสมุทรปราการกับคณะเป็นผู้เสนอ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรกำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้ นั้น กสม.เห็นว่าเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนต่อการดำเนินการตามหลักนิติรัฐและ หลักนิติธรรมตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ อาจนำมาซึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ ดำเนินการของรัฐและบุคคลที่มีส่วนสร้างสถานการณ์ความรุนแรงต่อชีวิตและร่าง กายของผู้อื่น อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งประเด็นนี้ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้มีความเห็นแถลงต่อกรณีดังกล่าวว่า ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งกำลังพิจารณาในที่ประชุมสภาในขณะนี้อาจเป็นการไม่ ชอบ และเรียกร้องรัฐบาลไทยว่า ควรจะต้องแน่ใจว่าการนิรโทษกรรมใดๆ ก็ตาม จะต้องไม่รวมไปถึงผู้ที่จะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และใช้มาตรการเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าว และรัฐบาลไทยจะสร้างเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญ หากยังปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนของไทยเอง รวมถึงคุมตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน และผู้ได้รับบาดเจ็บในระหว่างชุมนุมประท้วงดังกล่าว ดังนั้น กฎหมายนิรโทษกรรมควรออกมาในสภาวการณ์ที่สุกงอมในเรื่องการทำให้สิทธิการรับ รู้ความเป็นจริงปรากฏต่อสาธารณชน และนำไปสู่การได้ข้อสรุปในความเป็นจริงที่เข้าใจและยอมรับในเรื่องการไม่เอา ผิดต่อประชาชนที่เข้ามาใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ดังนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการทางนิติบัญญัติสมควรพิจารณาข้อเรียกร้องที่ ให้มีการชะลอการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว แล้วเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อ ร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างกว้างขวางและทั่วถึง อันนำไปสู่การลดเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นของสังคมและประชาชน ในชาติในฐานะที่เป็นพลเมืองไทย

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...