มาตรา 68
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราทั้ง 4 มาตรา คือที่มาของ ส.ว. มาตรา 190 มาตรา 68 และมาตรา 237 ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญฯทั้ง 3 คณะ ซึ่งการประชุมที่ผ่านมา 2 ครั้ง กมธ.ชุดที่ถือว่า ดุเดือด มากที่สุด หนีไม่พ้น มาตรา 190 และ มาตรา 68
โดยเฉพาะ มาตรา 68 อุณหภูมิความร้อนแรงได้เกิดขึ้นทั้งในห้องประชุม กมธ.และที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากมีบุคคลหลายฝ่าย ใช้สิทธิ คำร้องว่า ประธานรัฐสภาและพวก กระทำการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการตัดสิทธิของบุคคลในการพิทักษ์รัฐ ธรรมนูญ
สำหรับ มาตรา 68 ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุว่า “บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้ อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคําร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผู้กระทําการดังกล่าว
ในกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสองศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการ เมืองที่ถูกยุบในขณะที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วัน ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว”
ในขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่...) พ.ศ...(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 68 และมาตรา 237 ที่มีส.ส.และ ส.ว. จำนวน 311 คน เป็นผู้เสนอ) มีจำนวน 5 มาตรา
ซึ่งสาระสำคัญอยู่ที่ มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามหมวด 3 แห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้ อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่ออัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อวรรค หนึ่ง ให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการ กระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้”
ณ ตอนนี้แค่เริ่มต้น เพราะต้องรอดู กมธ.จากพรรคเพื่อไทย ว่าจะ หักดิบ ยืนตามร่างแก้ไขให้ยื่นเรื่องผ่าน “อัยการสูงสุด”เพียงอย่างเดียวจริง ๆ หรือไม่ เพราะเชื่อว่าแรงกดดันนอกสภาคงไม่ยอมง่าย ๆ.
ขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/article/15675/197293 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราทั้ง 4 มาตรา คือที่มาของ ส.ว. มาตรา 190 มาตรา 68 และมาตรา 237 ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญฯทั้ง 3 คณะ ซึ่งการประชุมที่ผ่านมา 2 ครั้ง กมธ.ชุดที่ถือว่า ดุเดือด มากที่สุด หนีไม่พ้น มาตรา 190 และ มาตรา 68 โดยเฉพาะ มาตรา 68 อุณหภูมิความร้อนแรงได้เกิดขึ้นทั้งในห้องประชุม กมธ.และที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากมีบุคคลหลายฝ่าย ใช้สิทธิ คำร้องว่า ประธานรัฐสภาและพวก กระทำการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการตัดสิทธิของบุคคลในการพิทักษ์รัฐ ธรรมนูญ สำหรับ มาตรา 68 ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุว่า “บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้ ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้ อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคําร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผู้กระทําการดังกล่าว ในกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสองศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้ ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการ เมืองที่ถูกยุบในขณะที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วัน ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว” ในขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่...) พ.ศ...(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 68 และมาตรา 237 ที่มีส.ส.และ ส.ว. จำนวน 311 คน เป็นผู้เสนอ) มีจำนวน 5 มาตรา ซึ่งสาระสำคัญอยู่ที่ มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามหมวด 3 แห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้ ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้ อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่ออัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อวรรค หนึ่ง ให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการ กระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้” ณ ตอนนี้แค่เริ่มต้น เพราะต้องรอดู กมธ.จากพรรคเพื่อไทย ว่าจะ หักดิบ ยืนตามร่างแก้ไขให้ยื่นเรื่องผ่าน “อัยการสูงสุด”เพียงอย่างเดียวจริง ๆ หรือไม่ เพราะเชื่อว่าแรงกดดันนอกสภาคงไม่ยอมง่าย ๆ. ขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/article/15675/197293
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)