"บรรเจิด-สุรพล" เปิดตำราดับวิกฤต รธน.
"บรรเจิด-สุรพล" เปิดตำราดับวิกฤต รธน.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 15 ก.พ. 2556 เวลา 14:28:07 น.
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนของร้อนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-องคาพยพพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงไม่อยากแตะ ไม่ว่าแดงในเสื้อคลุมอำมาตย์ หรือแดงในคราบไพร่ เว้นแต่เสื้อแดงหัวก้าวหน้า หลังจากถูกศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเบรกการลงมติในวาระ 3 แนะนำให้ทำประชามติถามประชาชนผู้เป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญก่อน
จนต้องโยนไป-มา ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาช่วยคิด-ยื้อ-ประวิงเวลา ออกไปถึง 2 ชุด ล่าสุดคณะทำงานศึกษาข้อกฎหมายการทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มี "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการเป็นประธาน มอบหมายให้ 3 สถาบันการศึกษาด้านนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง กลับไปศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งโครงสร้างมาอีกครั้ง โดยขีดเส้นตายต้องทำให้เสร็จภายใน 60 วัน
แต่ล่าสุดเกิดอาการสะดุด เมื่อบางมหาวิทยาลัยตอบกลับมาว่าอาจทำไม่เสร็จตามกำหนด ทำให้คณะทำงานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย คิดแผนคู่ขนานเริ่มต้นรื้อฟื้นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา
โดยใช้เวลาระหว่างรอให้ 3 สถาบันดำเนินการศึกษาหาทางออกการทำประชามติ ผนึก ส.ว.สายเลือกตั้งบางกลุ่มที่กำลังครบวาระผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.พ่วงประเด็นที่่ฝ่ายค้านเห็นพ้อง เพื่อบรรลุข้อตกลกโดยให้ต่ออายุ ส.ว.เลือกตั้งออกไป
"พีระพันธุ์ พาลุสุข" ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตคณะทำงาน 11 อรหันต์ กล่าวว่า "ส่วนตัวเห็นว่าไม่จำเป็นต้องรอทำประชามติ หรือรอฟังความเห็นจากทั้ง 3 สถาบันการศึกษา ทั้ง 3 เรื่อง ฝ่ายค้านก็เห็นพ้องว่าควรแก้ไข เราสามารถแก้ไขเป็นรายมาตราได้ทันที"
และมีความเป็นไปได้เมื่อ "ถาวร เสนเนียม" ส.ส.สงขลา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอบรับว่า "หากฝ่ายพรรคเพื่อไทยมีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเรื่องการยุบพรรค คุณสมบัติของ ส.ว. หรือที่มาของคณะกรรมการในองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่เห็นพ้องตรงกัน ก็พร้อมจะนำเข้าสู่การหารือในที่ประชุมของพรรค"
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการแก้ไขรัฐธรรมนูญในพรรคเพื่อไทย มิอาจมีสาระแค่นั้น หากยังหวังผลไปไกลถึงการเปลี่ยนโครงสร้าง-ลดอำนาจขององค์กรอิสระ อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ตรวจการแผ่นดิน อาจส่งผลสะเทือนจนกลายเป็นชนวนวิกฤตขัดแย้งรอบใหม่
ทำให้ 2 กูรูนิติศาสตร์อย่าง "ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ" คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ "ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์" อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยลตามช่อง
มองตามเกม วิเคราะห์ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญของนักการเมือง กับสภาพสังคมวิทยาของไทย สอดคล้องกันหรือไม่
"ศ.ดร.บรรเจิด" มองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของบ้านเรา ต้องทำให้สอดคล้องกับสภาพสังคมวิทยา และต้องขึ้นอยู่กับการตั้งโจทย์ หากตั้งโจทย์ผิด ทุกอย่างก็ผิด
เขายก 2 ตัวอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือฝรั่งเศส และเยอรมนี
"ฝรั่งเศสกับเยอรมนีเอาระบบรัฐสภาอังกฤษมาใช้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะในฝรั่งเศสสถานการณ์การเมืองในปี ค.ศ. 1958 เกิดรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ท้ายที่สุดฝรั่งเศสต้องตั้งโจทย์ปฏิรูประบบการเมือง ประชาชนกับทหารบอกว่าต้องแก้วิกฤตให้ได้ภายใน 6 เดือน จึงไปเชิญนายพลชาร์ล เดอ โกล เข้ามาปฏิรูป ออกแบบระบบกึ่งประธานาธิบดี หลัง ค.ศ. 1958 ฝรั่งเศสมีเสถียรภาพมาจนถึงทุกวันนี้"
"ส่วนเยอรมนีเอาระบบรัฐสภาอังกฤษมาใช้เหมือนไทย และฝรั่งเศส แต่เกิดคนละอาการ โดยเกิดเผด็จการรัฐสภา ให้ฮิตเลอร์พาประเทศไปสู่หายนะ สุดท้ายมาปฏิรูปการเมืองบนซากอิฐ เศษปูน ในปี ค.ศ. 1948 โดยให้คน 45 คนไปยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมสร้างองค์กรขึ้นมาถ่วงดุลเสียงข้างมากที่ไม่ใช่เสียงข้างน้อยในสภา คือศาลรัฐธรรมนูญ"
"ส่วนโจทย์ของไทยคือ อำนาจการเมืองถูกผูกขาดโดยคนชั้นนำ ย้อนไป 80 ปี 2475-2500 ถูกผูกขาดโดยคณะราษฎร พ.ศ. 2506 ถูกผูกขาดโดยขุนศึก พ.ศ. 2517-2535 ผูกขาดโดยขุนศึกและ
ทุน หลัง พ.ศ. 2535 ถูกผูกขาดโดยทุน เห็นได้ว่าที่ผ่านมาไม่มีพื้นที่ประชาชนเลย จึงต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชน"
ด้าน "ศ.ดร.สุรพล" วิเคราะห์ความต้องการลดอำนาจ-ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า
"เรากำลังถูกนักการเมืองหลอก"
"วันนี้นักการเมืองกำลังบอกว่าเป็นนักการเมืองได้รับการเลือกตั้ง อย่าให้ใครมาตรวจสอบ นอกจากตรวจสอบกันเอง
ทั้ง 3 ศาลมีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 ก่อนรัฐประหารปี 2549 ไม่มีใครฝ่ายการเมืองพูดถึงประเด็นนี้เพราะเขาหลอกท่าน ถ้าเราให้นักการเมืองหลอกก็เป็นเคราะห์กรรมของไทย"
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
"บรรเจิด-สุรพล" เปิดตำราดับวิกฤต รธน. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 15 ก.พ. 2556 เวลา 14:28:07 น. ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1360913307&grpid=03&catid=16&subcatid=1601 การแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนของร้อนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-องคาพยพพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงไม่อยากแตะ ไม่ว่าแดงในเสื้อคลุมอำมาตย์ หรือแดงในคราบไพร่ เว้นแต่เสื้อแดงหัวก้าวหน้า หลังจากถูกศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเบรกการลงมติในวาระ 3 แนะนำให้ทำประชามติถามประชาชนผู้เป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญก่อน จนต้องโยนไป-มา ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาช่วยคิด-ยื้อ-ประวิงเวลา ออกไปถึง 2 ชุด ล่าสุดคณะทำงานศึกษาข้อกฎหมายการทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มี "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการเป็นประธาน มอบหมายให้ 3 สถาบันการศึกษาด้านนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง กลับไปศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งโครงสร้างมาอีกครั้ง โดยขีดเส้นตายต้องทำให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ล่าสุดเกิดอาการสะดุด เมื่อบางมหาวิทยาลัยตอบกลับมาว่าอาจทำไม่เสร็จตามกำหนด ทำให้คณะทำงานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย คิดแผนคู่ขนานเริ่มต้นรื้อฟื้นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยใช้เวลาระหว่างรอให้ 3 สถาบันดำเนินการศึกษาหาทางออกการทำประชามติ ผนึก ส.ว.สายเลือกตั้งบางกลุ่มที่กำลังครบวาระผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.พ่วงประเด็นที่่ฝ่ายค้านเห็นพ้อง เพื่อบรรลุข้อตกลกโดยให้ต่ออายุ ส.ว.เลือกตั้งออกไป "พีระพันธุ์ พาลุสุข" ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตคณะทำงาน 11 อรหันต์ กล่าวว่า "ส่วนตัวเห็นว่าไม่จำเป็นต้องรอทำประชามติ หรือรอฟังความเห็นจากทั้ง 3 สถาบันการศึกษา ทั้ง 3 เรื่อง ฝ่ายค้านก็เห็นพ้องว่าควรแก้ไข เราสามารถแก้ไขเป็นรายมาตราได้ทันที" และมีความเป็นไปได้เมื่อ "ถาวร เสนเนียม" ส.ส.สงขลา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอบรับว่า "หากฝ่ายพรรคเพื่อไทยมีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเรื่องการยุบพรรค คุณสมบัติของ ส.ว. หรือที่มาของคณะกรรมการในองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่เห็นพ้องตรงกัน ก็พร้อมจะนำเข้าสู่การหารือในที่ประชุมของพรรค" อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการแก้ไขรัฐธรรมนูญในพรรคเพื่อไทย มิอาจมีสาระแค่นั้น หากยังหวังผลไปไกลถึงการเปลี่ยนโครงสร้าง-ลดอำนาจขององค์กรอิสระ อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ตรวจการแผ่นดิน อาจส่งผลสะเทือนจนกลายเป็นชนวนวิกฤตขัดแย้งรอบใหม่ ทำให้ 2 กูรูนิติศาสตร์อย่าง "ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ" คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ "ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์" อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยลตามช่อง มองตามเกม วิเคราะห์ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญของนักการเมือง กับสภาพสังคมวิทยาของไทย สอดคล้องกันหรือไม่ "ศ.ดร.บรรเจิด" มองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของบ้านเรา ต้องทำให้สอดคล้องกับสภาพสังคมวิทยา และต้องขึ้นอยู่กับการตั้งโจทย์ หากตั้งโจทย์ผิด ทุกอย่างก็ผิด เขายก 2 ตัวอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือฝรั่งเศส และเยอรมนี "ฝรั่งเศสกับเยอรมนีเอาระบบรัฐสภาอังกฤษมาใช้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะในฝรั่งเศสสถานการณ์การเมืองในปี ค.ศ. 1958 เกิดรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ท้ายที่สุดฝรั่งเศสต้องตั้งโจทย์ปฏิรูประบบการเมือง ประชาชนกับทหารบอกว่าต้องแก้วิกฤตให้ได้ภายใน 6 เดือน จึงไปเชิญนายพลชาร์ล เดอ โกล เข้ามาปฏิรูป ออกแบบระบบกึ่งประธานาธิบดี หลัง ค.ศ. 1958 ฝรั่งเศสมีเสถียรภาพมาจนถึงทุกวันนี้" "ส่วนเยอรมนีเอาระบบรัฐสภาอังกฤษมาใช้เหมือนไทย และฝรั่งเศส แต่เกิดคนละอาการ โดยเกิดเผด็จการรัฐสภา ให้ฮิตเลอร์พาประเทศไปสู่หายนะ สุดท้ายมาปฏิรูปการเมืองบนซากอิฐ เศษปูน ในปี ค.ศ. 1948 โดยให้คน 45 คนไปยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมสร้างองค์กรขึ้นมาถ่วงดุลเสียงข้างมากที่ไม่ใช่เสียงข้างน้อยในสภา คือศาลรัฐธรรมนูญ" "ส่วนโจทย์ของไทยคือ อำนาจการเมืองถูกผูกขาดโดยคนชั้นนำ ย้อนไป 80 ปี 2475-2500 ถูกผูกขาดโดยคณะราษฎร พ.ศ. 2506 ถูกผูกขาดโดยขุนศึก พ.ศ. 2517-2535 ผูกขาดโดยขุนศึกและ ทุน หลัง พ.ศ. 2535 ถูกผูกขาดโดยทุน เห็นได้ว่าที่ผ่านมาไม่มีพื้นที่ประชาชนเลย จึงต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชน" ด้าน "ศ.ดร.สุรพล" วิเคราะห์ความต้องการลดอำนาจ-ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า "เรากำลังถูกนักการเมืองหลอก" "วันนี้นักการเมืองกำลังบอกว่าเป็นนักการเมืองได้รับการเลือกตั้ง อย่าให้ใครมาตรวจสอบ นอกจากตรวจสอบกันเอง ทั้ง 3 ศาลมีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 ก่อนรัฐประหารปี 2549 ไม่มีใครฝ่ายการเมืองพูดถึงประเด็นนี้เพราะเขาหลอกท่าน ถ้าเราให้นักการเมืองหลอกก็เป็นเคราะห์กรรมของไทย"
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)