ยกชาวนาญี่ปุ่นรายได้สูง คูโบต้าติวเข้มไทยเดินตาม

ยกชาวนาญี่ปุ่นรายได้สูง คูโบต้าติวเข้มไทยเดินตาม

สยาม คูโบต้า แนะชาวนาไทยปลูกลูกแบบหยอดเมล็ดแบบชาวนาญี่ปุน ชี้ได้ผลผลิต และคุณภาพสูง ยกตัวอย่างข้าวพันธุ์โคชินขายได้กก.ละ 600 บาท ชี้ข้าวไทยในญี่ปุ่นถูกมองเป็นแค่วัตถุดิบแปรรูปอาหารมากกว่าสินค้า ยกชาวนาแดนซามุไรมีรายได้สูงเฉลี่ย 2.6 ล้านบาทต่อครัว/ปี แนะชาวนาไทยควรรวมกลุ่มทำนาแปลงใหญ่ใช้เครื่องจักรทันสมัย

ทซึโทมุ มิยาโกชิ ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญพิเศษด้านเทคนิคการปลูกข้าว บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด

นายทซึโทมุ มิยาโกชิ ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญพิเศษด้านเทคนิคการปลูกข้าว บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ สยามคูโบต้าจะมีการจัดสัมมนาข้าว ซึ่งจะมีการแนะนำการปลูกข้าวแบบญี่ปุ่นในเมืองไทยให้กับเกษตรกรไทยเพื่อเรียนรู้วิธีการบริหารต้นทุน รวมทั้งแนะนำข้อดีของการรวมกลุ่มของชาวนาเพื่อซื้อเครื่องจักรในการทำนา ตลอดจนเทคนิคการรักษาปริมาณและคุณภาพข้าว ผลผลิตให้มีความสม่ำเสมอในทุก ๆ ปี เหมือนกับชาวนาญี่ปุ่นที่สามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพข้าวในแต่ละปีได้อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ได้ผลผลิตเฉลี่ยในแต่ละคร็อปแตกต่างกันไม่เกิน 2% ขณะที่ประเทศผู้ผลิตข้าวอื่นๆผลผลิตยังคงมีความผันผวน

“ข้าวญี่ปุ่นถ้าปลูกด้วยระบบคุณภาพดีๆเป็นข้าวที่ราคาแพงที่สุดในโลกเลยก็ว่า โดยข้าวพันธุ์โคชิน ราคากิโลกรัมละ 600 บาท (ตันละ 6 แสนบาท) ส่วนข้าวไทยที่ส่งไปขายที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารแปรรูปมากกว่านำมาบริโภค ดังนั้นหากชาวนาไทยพัฒนาข้าวให้มีคุณภาพดี ๆ เชื่อว่าข้าวไทยจะสามารถเปลี่ยนจากวัตถุดิบมาเป็นสินค้าที่วางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำได้และเป็นข้าวชั้นเลิศของโลกได้”

นายทซึโทมุ กล่าวอีกว่า ชาวนาในญี่ปุ่นปัจจุบันเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสัดส่วน 65% ของชาวนาในญี่ปุ่นทั้งหมด มีอายุฉลี่ย 66 ปี ในขณะที่ชาวนาที่เป็นผู้หญิงเริ่มลดน้อยลง ทำให้มีพื้นที่นาว่างจากการทำนาเพิ่มขึ้น โดยชาวนาญี่ปุ่นจะมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มขนาดเล็กแบบครอบครัว กับกลุ่มขนาดใหญ่แบบรวมกลุ่มกัน ดังนั้นเมื่อมีแปลงนาเพิ่มขึ้น จึงมีการเปลี่ยนวิธีการทำนำ โดยนำเครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาช่วยมากขึ้น และจะใช้วิธีการหยอดเมล็ดข้าวแทนการปักดำที่ทำกันมาก่อนหน้านี้ ซึ่งการใช้วิธีหยอดเมล็ดข้าวจะช่วยให้ได้ต้นข้าวที่แข็งแรง ได้รวงข้าวที่สมบูรณ์และมีได้คุณภาพ ขณะที่ในส่วนของเมล็ดพันธุ์จะใช้ผงเหล็กเคลือบเพื่อให้เมล็ดข้าวมีน้ำหนักไม่ถูกน้ำพัดพา นกไม่กิน

ทั้งนี้การทำนาของญี่ปุ่นจะมีการรวมกลุ่มแบบแปลงใหญ่มากขึ้น แต่การทำนากลับลดเวลาในการทำลงถึง 60% ส่งผลให้ต้นทุนลดลงด้วย และจากการปลูกดังกล่าวชาวนาสามารถใส่ปุ๋ยไปพร้อมกัน ส่วนแรงงานที่ใช้นั้นใช้แค่ช่วงปลูกหยอดเมล็ดกับเอารถมาเก็บเกี่ยวเท่านั้น ซึ่งจากการปลูกดังกล่าวทำให้ชาวนาได้ผลผลิตที่สีแปรเป็นข้าวสารถึง 675 กิโลกรัมต่อไร่ และถ้าเป็นข้าวเปลือก 900 กิโลกรัมต่อไร่ โดยชาวนาญี่ปุ่น ณ ปัจจุบันใส่ใจเรื่องของรสชาติของข้าวมากขึ้น จากเดิมจะเน้นทำนาเพื่อบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก แต่ช่วงหลัง มีการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศบ้าง เช่น สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง ชาวนาญี่ปุ่นมีรายได้เฉลี่ยที่ 8 ล้านเยนต่อครอบครัวต่อปี( ราว 2.64 ล้านบาท) เทียบเท่ากับรายได้ของพนักงานบริษัทระดับปกติมีรายได้ 4 ล้านเยนต่อปี หรือระดับผู้บริหาร 10 ล้านเยนต่อปี ดังนั้นการทำนาแปลงใหญ่และควบคุมคุณภาพข้าวถือว่าสร้างรายได้ที่ดีมากให้กับชาวนาญี่ปุ่น

“สยามคูโบต้าได้การร่วมทำวิจัยการปลูกข้าว ปรับปรุงการเติบโตของข้าว จากที่ผ่านมาเน้นจำหน่ายเครื่องจักรการเกษตรเพียงอย่างเดียวในส่วนของชาวนาไทยควรรวมกลุ่มกันให้เกิดเป็นนาแปลงใหญ่เพื่อสามารถซื้อเครื่องจักรเกษตรที่มีความทันสมัย”

Photo : Pixabay

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,175 วันที่ 17 – 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขอบคุณ... http://www.thansettakij.com/2016/07/22/72344 (ขนาดไฟล์: 167)

ที่มา: thansettakij.com/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 22 ก.ค. 59
วันที่โพสต์: 22/07/2559 เวลา 08:47:26 ดูภาพสไลด์โชว์ ยกชาวนาญี่ปุ่นรายได้สูง คูโบต้าติวเข้มไทยเดินตาม