กรณีศึกษา Career Academies ปรับทัศนคติสร้างอาชีพในสายสามัญ
ปัจจุบันค่านิยมเด็กไทยผูกติดกับ ความฝันที่จะเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการประกอบอาชีพที่เป็นความต้องการของตลาดแรงงาน เหตุเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการกระจุกตัวของผู้จบการศึกษาสายสามัญ ทั้ง ๆ ที่ภาคอุตสาหกรรมคงยังต้องการบุคลากรเฉพาะทางอยู่จำนวนมาก
ประเด็นสำคัญเช่นนี้ จึงทำให้กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดประชุมเสวนาวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ 4 หัวข้อ "ระบบเตรียมความพร้อมด้านอาชีพในระบบโรงเรียนสายสามัญ Career Academies" โดยมีนักวิชาการ, ผู้บริหารการศึกษา, ครู, นักเรียน, ตัวแทนจังหวัด และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมงานเสวนา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เบื้อง ต้น "ทอม คอร์คอแรน" ผู้อำนวยการร่วมสถาบัน สถาบันวิจัยนโยบายการศึกษา Teachers College มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การศึกษาในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาคล้ายคลึงกับประเทศไทย คือมีเด็กออกจากการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาก่อนวัยอันควรถึงร้อยละ 25 และปัญหาที่สหรัฐอเมริกาเผชิญควบคู่กันคือ ทัศนคติที่พ่อแม่คิดว่าการส่งลูกไปเรียนสายสามัญเพื่อศึกษาต่อในระดับ มหาวิทยาลัยดีกว่าการเรียนสายอาชีวศึกษา
ทัศนคติเช่นนี้ส่งผลให้เกิดปัญหาการว่างงาน ทั้ง ๆ ที่มีตำแหน่งงานรองรับ แต่ว่าผู้จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาส่วนใหญ่ไร้ทักษะเฉพาะทางในการประกอบ อาชีพ จึงเป็นที่มาของการทำหลักสูตรการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพใน ระบบโรงเรียนสายสามัญ (Career Academies) โดยมีการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกามานานกว่า 30 ปี และปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการกว่า 8,000 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ Career Academies ในสหรัฐอเมริกาแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
หนึ่ง การร่วมเรียนรู้ขนาดเล็ก (Small Learning Community) คือการแบ่งการเรียนการสอนออกเป็นวิชาเลือกตามความสนใจของเด็กนักเรียน เป็นกลุ่มการเรียนรู้ร่วมกันขนาดเล็กของเด็กนักเรียนระดับมัธยมปลาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ส่วนบุคคลมากขึ้น และเพื่อพัฒนาความถนัดเฉพาะทางของนักเรียน
สอง หลักสูตรเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาก่อนก้าวสู่ระดับอุดมศึกษา (College-Prep Curriculum with a Career Them) เป็นหลักสูตร 1 ครั้งต่อ ปี หรืออาจมากกว่านั้น ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องการศึกษา และการนำไปประยุกต์ใช้ในสนามของการทำงาน ทั้งนั้นเพื่อให้นักเรียนรู้ และเข้าใจถึงวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อจะได้รู้ว่าตนเองอยากจะศึกษาต่อสาขาอะไรในระดับอุดมศึกษา
สาม ความร่วมมือกับนายจ้าง, ชุมชน และการศึกษาระดับสูง (Partnerships with Employers, Community and Higher Education) เพื่อให้นักศึกษาระดับอุดมศึกษาฝึกปฏิบัติงานจริงในองค์กรต่าง ๆโดย หลักสูตรทั้งหมดจะเน้นการแก้ปัญหาหลัก 5 ประการ ได้แก่ เยาวชนเบื่อกับการเรียนในระบบ, ลดจำนวนเยาวชนที่ออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควร, แนะนำเส้นทางอาชีพในอนาคตให้แก่เยาวชน, เตรียมพร้อมเกี่ยวกับการประกอบอาชีพให้กับเยาวชนที่ไม่เรียนต่อ และเตรียมพร้อมสำหรับนักเรียนในมหาวิทยาลัย โดยเน้นสอนเกี่ยวกับเทคนิคอาชีพ
"ทอม" กล่าวในตอนท้ายว่า แม้นักเรียนจะเรียนสายสามัญ แต่สามารถมีทักษะการเตรียมความพร้อมในการทำงานได้ ฉะนั้น หลักสูตรนี้จึงไม่ใช่การเรียนแบบอาชีวศึกษา แต่เป็นหลักสูตรที่พยายามจะสร้างให้เกิดการสร้างอาชีพในระดับสายสามัญ"เป็น การให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการประกอบอาชีพในอนาคต และเป็นหลักสูตรที่พัฒนาให้เด็กมีศักยภาพ และลงมือปฏิบัติจริง อันจะนำมาซึ่งโอกาสในการจ้างงานในอนาคต"
ขณะที่ "วิภา เกตุเพทา" ครูแนะแนวโรงเรียนสตรีวิทยา 2 หัวหน้ากลุ่มแนะแนวที่รวมตัวเครือข่ายครูแนะแนวจากทั่วประเทศ กล่าวถึงปัญหาแนะแนวเกี่ยวกับอาชีวศึกษาว่ายังขาดการได้รับความไว้ วางใจเรื่องการดูแลนักเรียน จึงทำให้ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่นที่จะส่งเด็กไปเรียนในระบบอาชีวศึกษา
"สิ่ง ที่ต้องการเร่งด่วนคือระบบการแนะแนว และระบบสารสนเทศ เพราะเด็กหลายคนไม่รู้ว่าหากจบสายสามัญหรืออาชีวศึกษาแล้วจะประกอบอาชีพอะไร จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือคัดกรอง และข้อมูลที่บอกว่าเขาถนัดแบบไหน เพื่อให้เด็กสามารถรู้ว่าตัวเองควรจะเลือกเรียนทางไหนจึงจะเหมาะสม"
ส่วน "ชาตรี ชนานาฎ" ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ภาคอาชีวศึกษามีการดูแลเด็กนักเรียนเป็นอย่างดี รวมถึงมีโครงสร้างการเรียนรู้เชิงวิชาการที่เข้มข้นไม่น้อยกว่าสายสามัญ และเด็กที่เรียนทางสายอาชีวะยังมีทักษะภาคปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้ทันทีเมื่อจบการศึกษา
"การ ที่ภาคอาชีวศึกษาถูกมองว่ายังขาดความไว้วางใจ อาจจะมาจากข่าวการทะเลาะวิวาทระหว่างเด็กอาชีวศึกษาที่ได้ยินกันมา แต่ความจริงแล้วเด็กสายสามัญก็มีการทะเลาะวิวาทเช่นเดียวกัน เพียงแต่ข่าวอาจไม่ได้ถูกนำเสนอ จึงนำมาซึ่งทัศนคติเชิงลบต่อการเรียนสายอาชีวะ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยนี้ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าภาคอาชีวศึกษาด้อยศักยภาพเลย"
ด้าน "ดร.วันชัย ดีเอกนามกูล" เลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวในตอนท้ายของงานสัมมนาว่า ควรปรับการเรียนสายสามัญ และ
สายอาชีพในสัดส่วนที่สมดุลกัน ที่สำคัญคือ ต้องมีการเชื่อมโยง และส่งต่อข้อมูลระหว่างการศึกษาสายสามัญและสายอาชีพ
"ผม เชื่อว่ารูปแบบ Career Academies สามารถทำได้ในประเทศไทย เพราะเราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เราสามารถใช้ประสบการณ์จากโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสมที่ประเทศไทยเคยมีใน อดีต และการนำกรณีศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาใช้ โดยข้อสรุปจากที่ประชุมวันนี้จะนำไปสู่การหารือในการประชุมคณะกรรมการปฏิรูป หลักสูตรเร็ว ๆ นี้"
ในภาพรวมชี้ให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมเสวนาทุกคนมีความเห็นสนับสนุนต่อการนำแนวคิด Career Academies กรณีศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งนั้นเพื่อนำประสบการณ์จากโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสม (คมส.) ในอดีตมาปรับใช้ด้วย เพราะทุกคนต่างเล็งเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาของสายสามัญในระยะยาว เพราะบุคลากรเหล่านี้ อาจจะเป็นฟันเฟืองหลักต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตนั่นเอง
ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1376042145
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 9 ส.ค.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
กรณีศึกษา Career Academies ปรับทัศนคติสร้างอาชีพในสายสามัญ ปัจจุบันค่านิยมเด็กไทยผูกติดกับ ความฝันที่จะเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการประกอบอาชีพที่เป็นความต้องการของตลาดแรงงาน เหตุเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการกระจุกตัวของผู้จบการศึกษาสายสามัญ ทั้ง ๆ ที่ภาคอุตสาหกรรมคงยังต้องการบุคลากรเฉพาะทางอยู่จำนวนมาก ประเด็นสำคัญเช่นนี้ จึงทำให้กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดประชุมเสวนาวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ 4 หัวข้อ "ระบบเตรียมความพร้อมด้านอาชีพในระบบโรงเรียนสายสามัญ Career Academies" โดยมีนักวิชาการ, ผู้บริหารการศึกษา, ครู, นักเรียน, ตัวแทนจังหวัด และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมงานเสวนา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เบื้อง ต้น "ทอม คอร์คอแรน" ผู้อำนวยการร่วมสถาบัน สถาบันวิจัยนโยบายการศึกษา Teachers College มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การศึกษาในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาคล้ายคลึงกับประเทศไทย คือมีเด็กออกจากการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาก่อนวัยอันควรถึงร้อยละ 25 และปัญหาที่สหรัฐอเมริกาเผชิญควบคู่กันคือ ทัศนคติที่พ่อแม่คิดว่าการส่งลูกไปเรียนสายสามัญเพื่อศึกษาต่อในระดับ มหาวิทยาลัยดีกว่าการเรียนสายอาชีวศึกษา ทัศนคติเช่นนี้ส่งผลให้เกิดปัญหาการว่างงาน ทั้ง ๆ ที่มีตำแหน่งงานรองรับ แต่ว่าผู้จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาส่วนใหญ่ไร้ทักษะเฉพาะทางในการประกอบ อาชีพ จึงเป็นที่มาของการทำหลักสูตรการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพใน ระบบโรงเรียนสายสามัญ (Career Academies) โดยมีการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกามานานกว่า 30 ปี และปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการกว่า 8,000 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ Career Academies ในสหรัฐอเมริกาแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ หนึ่ง การร่วมเรียนรู้ขนาดเล็ก (Small Learning Community) คือการแบ่งการเรียนการสอนออกเป็นวิชาเลือกตามความสนใจของเด็กนักเรียน เป็นกลุ่มการเรียนรู้ร่วมกันขนาดเล็กของเด็กนักเรียนระดับมัธยมปลาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ส่วนบุคคลมากขึ้น และเพื่อพัฒนาความถนัดเฉพาะทางของนักเรียน สอง หลักสูตรเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาก่อนก้าวสู่ระดับอุดมศึกษา (College-Prep Curriculum with a Career Them) เป็นหลักสูตร 1 ครั้งต่อ ปี หรืออาจมากกว่านั้น ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องการศึกษา และการนำไปประยุกต์ใช้ในสนามของการทำงาน ทั้งนั้นเพื่อให้นักเรียนรู้ และเข้าใจถึงวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อจะได้รู้ว่าตนเองอยากจะศึกษาต่อสาขาอะไรในระดับอุดมศึกษา สาม ความร่วมมือกับนายจ้าง, ชุมชน และการศึกษาระดับสูง (Partnerships with Employers, Community and Higher Education) เพื่อให้นักศึกษาระดับอุดมศึกษาฝึกปฏิบัติงานจริงในองค์กรต่าง ๆโดย หลักสูตรทั้งหมดจะเน้นการแก้ปัญหาหลัก 5 ประการ ได้แก่ เยาวชนเบื่อกับการเรียนในระบบ, ลดจำนวนเยาวชนที่ออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควร, แนะนำเส้นทางอาชีพในอนาคตให้แก่เยาวชน, เตรียมพร้อมเกี่ยวกับการประกอบอาชีพให้กับเยาวชนที่ไม่เรียนต่อ และเตรียมพร้อมสำหรับนักเรียนในมหาวิทยาลัย โดยเน้นสอนเกี่ยวกับเทคนิคอาชีพ "ทอม" กล่าวในตอนท้ายว่า แม้นักเรียนจะเรียนสายสามัญ แต่สามารถมีทักษะการเตรียมความพร้อมในการทำงานได้ ฉะนั้น หลักสูตรนี้จึงไม่ใช่การเรียนแบบอาชีวศึกษา แต่เป็นหลักสูตรที่พยายามจะสร้างให้เกิดการสร้างอาชีพในระดับสายสามัญ"เป็น การให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการประกอบอาชีพในอนาคต และเป็นหลักสูตรที่พัฒนาให้เด็กมีศักยภาพ และลงมือปฏิบัติจริง อันจะนำมาซึ่งโอกาสในการจ้างงานในอนาคต" ขณะที่ "วิภา เกตุเพทา" ครูแนะแนวโรงเรียนสตรีวิทยา 2 หัวหน้ากลุ่มแนะแนวที่รวมตัวเครือข่ายครูแนะแนวจากทั่วประเทศ กล่าวถึงปัญหาแนะแนวเกี่ยวกับอาชีวศึกษาว่ายังขาดการได้รับความไว้ วางใจเรื่องการดูแลนักเรียน จึงทำให้ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่นที่จะส่งเด็กไปเรียนในระบบอาชีวศึกษา "สิ่ง ที่ต้องการเร่งด่วนคือระบบการแนะแนว และระบบสารสนเทศ เพราะเด็กหลายคนไม่รู้ว่าหากจบสายสามัญหรืออาชีวศึกษาแล้วจะประกอบอาชีพอะไร จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือคัดกรอง และข้อมูลที่บอกว่าเขาถนัดแบบไหน เพื่อให้เด็กสามารถรู้ว่าตัวเองควรจะเลือกเรียนทางไหนจึงจะเหมาะสม" ส่วน "ชาตรี ชนานาฎ" ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ภาคอาชีวศึกษามีการดูแลเด็กนักเรียนเป็นอย่างดี รวมถึงมีโครงสร้างการเรียนรู้เชิงวิชาการที่เข้มข้นไม่น้อยกว่าสายสามัญ และเด็กที่เรียนทางสายอาชีวะยังมีทักษะภาคปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้ทันทีเมื่อจบการศึกษา "การ ที่ภาคอาชีวศึกษาถูกมองว่ายังขาดความไว้วางใจ อาจจะมาจากข่าวการทะเลาะวิวาทระหว่างเด็กอาชีวศึกษาที่ได้ยินกันมา แต่ความจริงแล้วเด็กสายสามัญก็มีการทะเลาะวิวาทเช่นเดียวกัน เพียงแต่ข่าวอาจไม่ได้ถูกนำเสนอ จึงนำมาซึ่งทัศนคติเชิงลบต่อการเรียนสายอาชีวะ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยนี้ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าภาคอาชีวศึกษาด้อยศักยภาพเลย" ด้าน "ดร.วันชัย ดีเอกนามกูล" เลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวในตอนท้ายของงานสัมมนาว่า ควรปรับการเรียนสายสามัญ และ สายอาชีพในสัดส่วนที่สมดุลกัน ที่สำคัญคือ ต้องมีการเชื่อมโยง และส่งต่อข้อมูลระหว่างการศึกษาสายสามัญและสายอาชีพ "ผม เชื่อว่ารูปแบบ Career Academies สามารถทำได้ในประเทศไทย เพราะเราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เราสามารถใช้ประสบการณ์จากโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสมที่ประเทศไทยเคยมีใน อดีต และการนำกรณีศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาใช้ โดยข้อสรุปจากที่ประชุมวันนี้จะนำไปสู่การหารือในการประชุมคณะกรรมการปฏิรูป หลักสูตรเร็ว ๆ นี้" ในภาพรวมชี้ให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมเสวนาทุกคนมีความเห็นสนับสนุนต่อการนำแนวคิด Career Academies กรณีศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งนั้นเพื่อนำประสบการณ์จากโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสม (คมส.) ในอดีตมาปรับใช้ด้วย เพราะทุกคนต่างเล็งเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาของสายสามัญในระยะยาว เพราะบุคลากรเหล่านี้ อาจจะเป็นฟันเฟืองหลักต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตนั่นเอง ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1376042145 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 9 ส.ค.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)