ชาวนาหัวใสเลี้ยง"แมงสะดิ้ง"รายได้งาม
ชาวนาหัวใสเลี้ยง"แมงสะดิ้ง"ส่งขายเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้เดือนละกว่า 1 หมื่นบาท เผยอาชีพกระดูกสันหลังของชาติรายได้ไม่พอกิน
วันนี้ (3 ก.ค. ) ที่ จ.นครสวรรค์ มีรายงานว่า ชาวนารายหนึ่ง ในพื้นที่ ต.ห้วยน้ำหอม อ.ลาดยาว ประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ด้วยการขายแมงสะดิ้ง หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางคือ จิ้งหรีดขาว จนมีรายได้จุลเจือครอบครัวเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งในแต่ละรอบของการขาย จะมีรายได้จากการขายแมลงดังกล่าว ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทเลยทีเดียว
จากการเดินทางไปตรวจสอบ พบว่า ชาวนาที่ขายแมงสะดิ้ง คือ นายดำ กุมภาพันธ์ อายุ 64 ปี ทำโรงเรือนเพาะพันธุ์แมงสะดิ้งอยู่ภายในบริเวณบ้านของตัวเอง เลขที่ 58 หมู่ 3 ต.ห้วยน้ำหอม โดยมีลังไม้ ขนาด 3X1 เมตร จำนวน 8 ลัง เป็นเพาะพันธุ์แมลงดังกล่าว ซึ่งแต่ละลังได้ จะพบตาข่ายโปร่งมาคุมทับไว้อย่างดี เพื่อป้องกันจิ้งจก ตุ๊กแก เข้ามาลักขโมยกิน และกันไม่ให้แมลงสะดิ้งไต่ออกมานอกลัง นอกจากนี้ ภายในลัง ยังมีขันน้ำบรรจุแกลบไว้สำหรับวางไข่ และมีแผงไข่อีกหลายสิบอันวางไว้เป็นแหล่งอาศัยของแมลงด้วย ซึ่งนายดำ ให้ข้อมูลว่า สิ่งที่เค้าเลี้ยงนี้ นอกจากจะเป็นแมงเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นแมงที่มีคุณค่าทางอาหารด้านโปรตีนสูงมาก
นายดำ เปิดเผยว่า เมื่อก่อนประกอบอาชีพทำนาเพียงอย่างเดียว มีรายได้พออยู่พอกินมานานหลายปี กระทั่ง ลูกเขยได้จุดประกายแนะนำให้เลี้ยงแมงสะดิ้ง เนื่องจากทราบข่าวว่า เกษตรกรในหลายพื้นที่ภาคอีสานต่างมีรายได้อย่างงามจากการเลี้ยงแมลงนี้ จึงได้เริ่มศึกษา และไปซื้อพันธุ์มาทดลองเลี้ยงในลังไม้ เริ่มต้นจาก 3 ลัง จนปัจจุบัน มีแมงสะดิ้งเลี้ยงไว้ ทั้งหมด 8 ลังแล้ว และสามารถสร้างรายได้จากการขายต่อ 1 รอบการเก็บ ในระยะเวลา 2 เดือน ประมาณ 15,000 บาท ซึ่งในส่วนของการขายนั้น จะนำแมลงมาทอดก่อนแยกบรรจุใส่ถุงพลาสติก และนำออกไปตระเวนขายเองตามท้องตลาด วันละ 30 ถุง ขายในราคาถุงละ 20 บาท
นายดำ เผยต่ออย่างเมามันว่า การเลี้ยงแมงสะดิ้ง ไม่ต้องดูแลอะไรมาก แต่ต้องตั้งจัดสถานที่เลี้ยงให้ดี สามารถป้องกันแสงแดดและฝนได้ ส่วนอาหารจะให้รำ หัวอาหารสัตว์ รวมถึงอาหารเสริมอย่างพืชผักและผลไม้ เป็นหลัก ขณะที่การเลี้ยง จะใช้เวลาตั้งแต่เริ่มฟักไข่ไปจนถึง 2 เดือน แมงจึงจะโตเต็มวัย และเริ่มจับแมงนำไปทอดขายได้ ซึ่งช่วงดังกล่าว จะสามารถจับได้ประมาณ 60 วัน เพราะหลังจากนั้น แมงสะดิ้งจะตายหมด เนื่องจากเต็มอายุขัยของมัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากหมดรอบการจับไปแล้ว จะนำของแมลงสะดิ้ง ที่ไข่ทิ้งไว้ในขัน มาทำการเพาะเลี้ยงต่อไป ซึ่งแต่ละปีสามารถเลี้ยงได้ 4-5 รุ่น และแต่ละรุ่น จะสามารถสร้างรายได้ให้อย่างงดงามเลยทีเดียว ถือว่าดีกว่าอาชีพทำนาด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะสามารถนำทำเป็นอาหารขายหลากหลายเมนูได้แล้ว ยังสามารถนำมูลของมันไปทำปุ๋ยขายได้อีกด้วย ดังนั้น หากเกษตรกรในพื้นรายไหน ต้องการจะหันเลี้ยงแมลงสะดิ้งเพื่อเสริมรายได้หรือให้เป็นอาชีพหลัก สามารถปรึกษาได้ ตนยินดีให้คำแน่ะนำโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย รับรองว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นายดำ กล่าวอย่างยิ้มแย้ม
ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/thailand/216390
เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ก.ค.56
1 นายสรวงค์ แสงหนู 44 วังอ้อ นิคม? จ กำแพงเพชร 5/11/2556 06:31:29
ผมใด้อ่านข้อมูลการเลี้ยงแมงสดิ้งแล้วสนใจมากอยากจะเลี้ยงบ้าง จะซื้อไข่แมงสดิ้ใด้ที่ไหนอย่างไร ขายยังไงต้องมาซื้อเอง หรือส่งให้อื่นใด้ ช่วยบอกผมหน่อยครับ
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ชาวนา เลี้ยงแมงสะดิ้ง ชาวนาหัวใสเลี้ยง"แมงสะดิ้ง"ส่งขายเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้เดือนละกว่า 1 หมื่นบาท เผยอาชีพกระดูกสันหลังของชาติรายได้ไม่พอกิน วันนี้ (3 ก.ค. ) ที่ จ.นครสวรรค์ มีรายงานว่า ชาวนารายหนึ่ง ในพื้นที่ ต.ห้วยน้ำหอม อ.ลาดยาว ประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ด้วยการขายแมงสะดิ้ง หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางคือ จิ้งหรีดขาว จนมีรายได้จุลเจือครอบครัวเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งในแต่ละรอบของการขาย จะมีรายได้จากการขายแมลงดังกล่าว ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทเลยทีเดียว จากการเดินทางไปตรวจสอบ พบว่า ชาวนาที่ขายแมงสะดิ้ง คือ นายดำ กุมภาพันธ์ อายุ 64 ปี ทำโรงเรือนเพาะพันธุ์แมงสะดิ้งอยู่ภายในบริเวณบ้านของตัวเอง เลขที่ 58 หมู่ 3 ต.ห้วยน้ำหอม โดยมีลังไม้ ขนาด 3X1 เมตร จำนวน 8 ลัง เป็นเพาะพันธุ์แมลงดังกล่าว ซึ่งแต่ละลังได้ จะพบตาข่ายโปร่งมาคุมทับไว้อย่างดี เพื่อป้องกันจิ้งจก ตุ๊กแก เข้ามาลักขโมยกิน และกันไม่ให้แมลงสะดิ้งไต่ออกมานอกลัง นอกจากนี้ ภายในลัง ยังมีขันน้ำบรรจุแกลบไว้สำหรับวางไข่ และมีแผงไข่อีกหลายสิบอันวางไว้เป็นแหล่งอาศัยของแมลงด้วย ซึ่งนายดำ ให้ข้อมูลว่า สิ่งที่เค้าเลี้ยงนี้ นอกจากจะเป็นแมงเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นแมงที่มีคุณค่าทางอาหารด้านโปรตีนสูงมาก นายดำ เปิดเผยว่า เมื่อก่อนประกอบอาชีพทำนาเพียงอย่างเดียว มีรายได้พออยู่พอกินมานานหลายปี กระทั่ง ลูกเขยได้จุดประกายแนะนำให้เลี้ยงแมงสะดิ้ง เนื่องจากทราบข่าวว่า เกษตรกรในหลายพื้นที่ภาคอีสานต่างมีรายได้อย่างงามจากการเลี้ยงแมลงนี้ จึงได้เริ่มศึกษา และไปซื้อพันธุ์มาทดลองเลี้ยงในลังไม้ เริ่มต้นจาก 3 ลัง จนปัจจุบัน มีแมงสะดิ้งเลี้ยงไว้ ทั้งหมด 8 ลังแล้ว และสามารถสร้างรายได้จากการขายต่อ 1 รอบการเก็บ ในระยะเวลา 2 เดือน ประมาณ 15,000 บาท ซึ่งในส่วนของการขายนั้น จะนำแมลงมาทอดก่อนแยกบรรจุใส่ถุงพลาสติก และนำออกไปตระเวนขายเองตามท้องตลาด วันละ 30 ถุง ขายในราคาถุงละ 20 บาท นายดำ เผยต่ออย่างเมามันว่า การเลี้ยงแมงสะดิ้ง ไม่ต้องดูแลอะไรมาก แต่ต้องตั้งจัดสถานที่เลี้ยงให้ดี สามารถป้องกันแสงแดดและฝนได้ ส่วนอาหารจะให้รำ หัวอาหารสัตว์ รวมถึงอาหารเสริมอย่างพืชผักและผลไม้ เป็นหลัก ขณะที่การเลี้ยง จะใช้เวลาตั้งแต่เริ่มฟักไข่ไปจนถึง 2 เดือน แมงจึงจะโตเต็มวัย และเริ่มจับแมงนำไปทอดขายได้ ซึ่งช่วงดังกล่าว จะสามารถจับได้ประมาณ 60 วัน เพราะหลังจากนั้น แมงสะดิ้งจะตายหมด เนื่องจากเต็มอายุขัยของมัน อย่างไรก็ตาม หลังจากหมดรอบการจับไปแล้ว จะนำของแมลงสะดิ้ง ที่ไข่ทิ้งไว้ในขัน มาทำการเพาะเลี้ยงต่อไป ซึ่งแต่ละปีสามารถเลี้ยงได้ 4-5 รุ่น และแต่ละรุ่น จะสามารถสร้างรายได้ให้อย่างงดงามเลยทีเดียว ถือว่าดีกว่าอาชีพทำนาด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะสามารถนำทำเป็นอาหารขายหลากหลายเมนูได้แล้ว ยังสามารถนำมูลของมันไปทำปุ๋ยขายได้อีกด้วย ดังนั้น หากเกษตรกรในพื้นรายไหน ต้องการจะหันเลี้ยงแมลงสะดิ้งเพื่อเสริมรายได้หรือให้เป็นอาชีพหลัก สามารถปรึกษาได้ ตนยินดีให้คำแน่ะนำโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย รับรองว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นายดำ กล่าวอย่างยิ้มแย้ม ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/thailand/216390 เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ก.ค.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)