เครือสหพัฒน์ชูโมเดลธุรกิจ"มาม่า" ผลิตสินค้าต้นน้ำ-ปลายน้ำ/จัดทัพธุรกิจขยายตปท.

แสดงความคิดเห็น

สหพัฒน์ยกเครื่องหน่วยงานต่าง ประเทศ ดึงอดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกเสริมทัพ ดันบริษัทในเครือพร้อมลุยอาเซียน เผยสนใจธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ นำร่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ชี้เศรษฐกิจไทยยังขาลง อำนาจการซื้อลดลง แนะบริษัทในเครือใส่เกียร์สโลว์ ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ในหน่วยธุรกิจต่างประเทศของเครือ บริษัทได้แต่งตั้งนางจันทรา บูรณฤกษ์ อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เข้ามานั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) แทนนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ซึ่งเกษียณอายุไปก่อนหน้านี้ โดยมีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันอยู่ระหว่างเซตทีมบริหาร โดยต้องการให้เข้ามาช่วยผลักดันบริษัทในเครือ เพื่อรุกตลาดต่างประเทศและอาเซียน มองว่าเมื่อเปิดเออีซีในปี 2558 เป็นโอกาสจากจำนวนประชากร 10 ประเทศรวมเป็นหนึ่งเดียว

โดยประเทศไทย ถือว่ามีศักยภาพ ทั้งด้านเงินทุน ความสามารถของบุคลากร โดยเฉพาะเอสเอ็มอี บวกกับสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับ สำหรับบริษัทมองว่า ประเทศที่มีศักยภาพมากที่สุดในการเข้าไปลงทุนเป็นอันดับต้น ๆ คือพม่า อย่างไรก็ตาม ที่ดินยังมีราคาสูง และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ยังไม่พร้อม ทางเครือสหพัฒน์ยังให้ความสนใจในการทำธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ยกตัวอย่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปัจจุบันมีทั้งโรงงานบะหมี่ โรงงานผลิตถ้วย และแป้งสาลี จากนี้ก็จะขยายไลน์การผลิตภายใต้แนวคิดนี้ไปยังธุรกิจอื่นให้มากขึ้น

ทั้งนี้ มองว่าปัจจัยที่มีผลกับอำนาจการซื้อช่วงครึ่งปีหลัง คือเศรษฐกิจยุโรป และภาคการส่งออก หากยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งปัจจุบันค่าเงินแข็งเกินไป ทำให้รายได้ของประชาชนลดลง โดยมองว่าจีดีพีในปีนี้จะโตแค่ 2-3% ทั้งนี้ ได้ให้นโยบายบริษัทในเครือดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ในส่วนของผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า เศรษฐกิจครึ่งหลังปีนี้ของไทยยังดี เมื่อเทียบกับสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ถดถอย ทั้งยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ที่เศรษฐกิจเริ่มหดตัว อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกโดยรวม แต่เชื่อว่าไม่กระทบกลุ่มสหพัฒน์ เพราะการส่งออกไปจีนยังน้อย ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้า กรณีที่เลวร้ายที่สุด คือการปิดกิจการ ที่ผ่านมาบริษัทได้ปิดโรงงานรองเท้า ถุงเท้า บางส่วน แต่โรงงานที่เหลือ มองว่ายังดำเนินงานได้ดี

ดังนั้น มองว่าธุรกิจโดยรวมยังไม่ดี จึงต้องชะลอไว้ก่อน แต่ถ้าเทียบประเทศอื่น ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่า เพราะรัฐบาลฉีดโครงการอะไรเข้ามาจำนวนมาก แต่ถ้าเศรษฐกิจจีนซบเซาขึ้นอีก ก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงประเทศไทย

"พึ่งที่อื่นยาก ต้องพึ่งพาตัวเอง ตอนนี้จึงน่าจะใส่เกียร์สโลว์ เสื้อผ้าทรงตัว อาหารยังดีอยู่ ผมว่าพ่อค้ามีความคิดแบบพ่อค้า แบบไหนดี แบบไหนไม่ดี ถ้ารัฐบาลถามพ่อค้าว่ามองอย่างไร และทำให้มันถูกต้อง เมืองไทยจะไปได้ดี แต่ถ้ารัฐบาลเดินแบบรัฐบาล พ่อค้าเดินแบบพ่อค้า มันจะไม่เป็นจังหวะเดียวกัน"

นายบุณยสิทธิ์กล่าวอีกว่า ขณะนี้สังเกตว่าญี่ปุ่นสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะต้องการกระจายความเสี่ยง จากเดิมเข้าไปลงทุนในจีนเป็นจำนวนมาก ก็มาเพิ่มน้ำหนักลงทุนในเวียดนามและไทย มีทั้งกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ผลิตรถยนต์ ขณะนี้มีเจรจากับนักลงทุนญี่ปุ่น 3-4 ราย อย่างในงานสหพัฒน์ก็มีการจัดแสดงสินค้าเครื่องเขียนจากญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1372666680 (ขนาดไฟล์: 143)

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 1 ก.ค.56
วันที่โพสต์: 3/07/2556 เวลา 04:19:24

แสดงความคิดเห็น