มังกรธุรกิจรุ่นใหม่ ศุภชัย เจียรวนนท์
กำลังถูกจับตามองแบบห้ามกะพริบตาจริง ๆ สำหรับหนุ่มคนนี้ เพราะเขาคือหัวหอกคนสำคัญอีกหนึ่งค่ายของวงการสื่อสารโทรคมนาคมไทย “คุณศุภชัย เจียรวนนท์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)เพราะกฎระเบียบของตระกูลเจียรวนนท์กำหนดไว้ว่า “ลูกหลานไม่ควรเข้ามาในธุรกิจที่ถือว่าดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว หรือมีผู้ที่มีความสามารถหรือมืออาชีพที่สามารถทำธุรกิจนั้นได้ดีอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าลูกหลานจะทำอะไรก็ให้ไปเริ่มธุรกิจใหม่ หรือไม่ก็ให้ออกไปทำธุรกิจเอง” ด้วยเหตุผลนี้ทำให้คุณศุภชัยเข้าไปเริ่มต้นในธุรกิจโทรคมนาคมของเครือเจริญ โภคภัณฑ์ หลังจากที่จบการศึกษาในปี พ.ศ.2532
แม้ตอนแรกตั้งใจจะเรียนวิศวกรรมเพราะมีความถนัดด้านคณิตศาสตร์และวิทยา ศาสตร์ แต่ด้วยแนวคิดที่กว้างไกลของคุณธนินท์ เจียรวนนท์ และการเติบโตมาในตระกูลนักธุรกิจ ทำให้เขาเลือกเรียนด้านการเงิน เมื่อเรียนจบจึงเริ่มทำงานทันที ด้วยเขาเชื่อแนว คิดของคุณพ่อที่ว่า “ประสบการณ์คือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด”
“ผมถูกสอนมาตั้ง แต่เด็กว่า ไม่ควรเลือกงาน แม้ว่าจะเรียนจบมาทางด้านการเงิน มีความสนใจในธุรกิจด้านการเงินและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อมีโอกาสและเห็นว่าธุรกิจโทรคมนาคมก็เป็นเรื่องน่าสนใจ จึงสมัครใจเข้ามาเริ่มบุกเบิก ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของการก้าวสู่การบริหารงานธุรกิจโทรคมนาคมของผม”
คุณศุภชัยถูกหล่อหลอมให้เป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก คุณปู่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ ธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นคนแรกที่นำเมล็ดพันธุ์ผักใส่ซอง มีฉลาก วันหมดอายุ ต่อมาก็จับเมล็ดพันธุ์ผักใส่กระป๋อง เริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ใส่ตรายี่ห้อบนกระป๋องเมล็ดพันธุ์ผัก เป็นตรายี่ห้อเรือบิน ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเมล็ดพันธุ์เลย แต่สิ่งนี้สำคัญและมีความหมาย เนื่องด้วยในยุคนั้นความทันสมัยที่สุดคือเครื่องบิน เหล่านี้เป็นเรื่องการสร้างแบรนด์ และการตลาด ซึ่งเขาซึมซับโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่เขาได้รับการพร่ำสอนจากคุณพ่อและใช้เป็นหลักการทำงานมาตลอด ทั้งเรื่องการรับผิดชอบต่อหน้าที่ การใช้เวลาอย่างมีคุณค่า อีกประการที่พ่อสอน และยังได้ประสบการณ์จากตนเองด้วยคือ “ในวิกฤติเป็นโอกาสเสมอ” ถ้านำมาประยุกต์หรือตีความหมายก็คือ “ความเปลี่ยนแปลง สร้างโอกาสเสมอ” และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เข้าใจดีว่า ผู้ที่เห็นความเปลี่ยนแปลง ผู้ที่เห็นว่าอะไรกำลังจะเปลี่ยนคือผู้ที่มีวิสัยทัศน์ และผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงคือผู้ที่สามารถอยู่รอดได้ และนี่คือหัวใจของการเป็นผู้นำในองค์กร
กว่าจะกลายมาเป็นนักธุรกิจที่โดดเด่น คุณศุภชัยต้องผ่านบททดสอบมามากมาย เริ่มจากการเข้ามาทำงานโดยมีนามสกุลครอบครัวอยู่ข้างหลัง เพราะกลายเป็นสิ่งกดดันที่ทำให้เขาต้องทุ่มเทและทำงานหนักกว่าผู้อื่น ทำอย่างไรให้ทุกคนในองค์กรยอมรับ ทำอย่างไรให้ผู้บริหารมืออาชีพยอมรับ นี่เป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถ เพื่อลบล้างทัศนคติที่ว่า เขามายืนบนถนนสายธุรกิจนี้ได้เพราะ “ทางลัด”
“การเป็นผู้นำไม่ใช่เพราะว่าเราต้องการเป็น ผู้นำคือคนอื่นให้เราเป็น และถ้าเราไม่ทุ่มเท ไม่เสียสละมากกว่าผู้อื่น ก็ยากที่จะเกิดการยอมรับ ซึ่งไม่ได้สำคัญกว่าเป็นที่นามสกุล แต่นามสกุลมีส่วนดี อย่างน้อยคือได้รับโอกาส ได้รับความไว้วางใจเร็วถ้าเราทุ่มเทและเสียสละ ฉะนั้นในการทำงานในระบบที่เราต้องเจอกับมืออาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญว่าเราต้อง แสดงให้เห็นว่าเราทุ่มเทและเสียสละไม่แพ้กัน และความจริงต้องมากกว่า เพราะลึก ๆ แล้วส่วนหนึ่งในใจของมืออาชีพจะคิดว่าเราได้เปรียบหลายอย่าง ฉะนั้นต้องยอมเสียเปรียบเป็น”
นอกจากได้รับการยอมรับจากผู้ร่วมงานแล้ว อีกสิ่งที่คุณศุภชัยให้ความสำคัญคือ การยอมรับจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งจะต้องมีความโปร่งใส ยิ่งถ้าเราเป็นสมาชิกของครอบครัวแล้วเราบริหารงานรับช่วงต่อ ยิ่งต้องเป็นผู้เสียสละ “ทำมากกว่า ได้น้อยกว่า” เป็นปรัชญาที่ใช้ได้ทั้งในครอบครัว และในการทำธุรกิจ ต้องรู้จักเสียเปรียบ เพราะความเสียสละสามารถสร้างความไว้วางใจ ยิ่งเป็นญาติพี่น้องกันยิ่งต้องให้ความรู้สึกที่ห่วงใยเป็นพิเศษ เพราะทำให้เกิดการผิดหวังได้ง่ายกว่าคนนอกโดยทั่วไป ฉะนั้นการระมัดระวังความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ต้องให้เกียรติ ต้องห่วงใยกับความรู้สึก ต้องเสียสละ นี่เป็นสิ่งสำคัญ
สำหรับการทำงานในแวดวงธุรกิจในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณศุภชัย บอกว่า ธุรกิจด้านเกษตรและอาหารในเครือเจริญโภคภัณฑ์ก็จะเน้นไปในระดับโลกมากขึ้น ส่วนธุรกิจด้านโทรคมนาคม มีการตั้งเป้าหมายของ “ขนาด” ว่าจะต้องเป็นผู้เล่นในระดับภูมิภาคให้ได้ นอกจากนี้ในกรณีของ Digital Media หรือที่สมัยนี้เรียกว่าดอทคอม ก็มีการตั้งเป้าหมายว่าเราควรจะต้องมีส่วนแบ่งในตลาดโลก หรืออย่างน้อยเข้ามาใช้บริการโดยเฉพาะในเรื่องอีคอมเมิร์ซ หรือในเรื่องของออนไลน์ คอนเทนต์ : online content โดยตั้งเป้าหมายไว้จำนวน 10% ของประชากรโลก
นอกจากการขยายงานด้านธุรกิจแล้ว สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือการตอบแทนสังคม ซึ่งหนุ่มคนนี้ยึดคติว่า “ธุรกิจยั่งยืน ต้องรับผิดชอบต่อสังคม”.
นภาพร พานิชชาติ
napapornp@dailynews.co.th
ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/article/2567/215513 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ศุภชัย เจียรวนนท์ กำลังถูกจับตามองแบบห้ามกะพริบตาจริง ๆ สำหรับหนุ่มคนนี้ เพราะเขาคือหัวหอกคนสำคัญอีกหนึ่งค่ายของวงการสื่อสารโทรคมนาคมไทย “คุณศุภชัย เจียรวนนท์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)เพราะกฎระเบียบของตระกูลเจียรวนนท์กำหนดไว้ว่า “ลูกหลานไม่ควรเข้ามาในธุรกิจที่ถือว่าดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว หรือมีผู้ที่มีความสามารถหรือมืออาชีพที่สามารถทำธุรกิจนั้นได้ดีอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าลูกหลานจะทำอะไรก็ให้ไปเริ่มธุรกิจใหม่ หรือไม่ก็ให้ออกไปทำธุรกิจเอง” ด้วยเหตุผลนี้ทำให้คุณศุภชัยเข้าไปเริ่มต้นในธุรกิจโทรคมนาคมของเครือเจริญ โภคภัณฑ์ หลังจากที่จบการศึกษาในปี พ.ศ.2532 แม้ตอนแรกตั้งใจจะเรียนวิศวกรรมเพราะมีความถนัดด้านคณิตศาสตร์และวิทยา ศาสตร์ แต่ด้วยแนวคิดที่กว้างไกลของคุณธนินท์ เจียรวนนท์ และการเติบโตมาในตระกูลนักธุรกิจ ทำให้เขาเลือกเรียนด้านการเงิน เมื่อเรียนจบจึงเริ่มทำงานทันที ด้วยเขาเชื่อแนว คิดของคุณพ่อที่ว่า “ประสบการณ์คือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด” “ผมถูกสอนมาตั้ง แต่เด็กว่า ไม่ควรเลือกงาน แม้ว่าจะเรียนจบมาทางด้านการเงิน มีความสนใจในธุรกิจด้านการเงินและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อมีโอกาสและเห็นว่าธุรกิจโทรคมนาคมก็เป็นเรื่องน่าสนใจ จึงสมัครใจเข้ามาเริ่มบุกเบิก ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของการก้าวสู่การบริหารงานธุรกิจโทรคมนาคมของผม” คุณศุภชัยถูกหล่อหลอมให้เป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก คุณปู่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ ธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นคนแรกที่นำเมล็ดพันธุ์ผักใส่ซอง มีฉลาก วันหมดอายุ ต่อมาก็จับเมล็ดพันธุ์ผักใส่กระป๋อง เริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ใส่ตรายี่ห้อบนกระป๋องเมล็ดพันธุ์ผัก เป็นตรายี่ห้อเรือบิน ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเมล็ดพันธุ์เลย แต่สิ่งนี้สำคัญและมีความหมาย เนื่องด้วยในยุคนั้นความทันสมัยที่สุดคือเครื่องบิน เหล่านี้เป็นเรื่องการสร้างแบรนด์ และการตลาด ซึ่งเขาซึมซับโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาได้รับการพร่ำสอนจากคุณพ่อและใช้เป็นหลักการทำงานมาตลอด ทั้งเรื่องการรับผิดชอบต่อหน้าที่ การใช้เวลาอย่างมีคุณค่า อีกประการที่พ่อสอน และยังได้ประสบการณ์จากตนเองด้วยคือ “ในวิกฤติเป็นโอกาสเสมอ” ถ้านำมาประยุกต์หรือตีความหมายก็คือ “ความเปลี่ยนแปลง สร้างโอกาสเสมอ” และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เข้าใจดีว่า ผู้ที่เห็นความเปลี่ยนแปลง ผู้ที่เห็นว่าอะไรกำลังจะเปลี่ยนคือผู้ที่มีวิสัยทัศน์ และผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงคือผู้ที่สามารถอยู่รอดได้ และนี่คือหัวใจของการเป็นผู้นำในองค์กร กว่าจะกลายมาเป็นนักธุรกิจที่โดดเด่น คุณศุภชัยต้องผ่านบททดสอบมามากมาย เริ่มจากการเข้ามาทำงานโดยมีนามสกุลครอบครัวอยู่ข้างหลัง เพราะกลายเป็นสิ่งกดดันที่ทำให้เขาต้องทุ่มเทและทำงานหนักกว่าผู้อื่น ทำอย่างไรให้ทุกคนในองค์กรยอมรับ ทำอย่างไรให้ผู้บริหารมืออาชีพยอมรับ นี่เป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถ เพื่อลบล้างทัศนคติที่ว่า เขามายืนบนถนนสายธุรกิจนี้ได้เพราะ “ทางลัด” “การเป็นผู้นำไม่ใช่เพราะว่าเราต้องการเป็น ผู้นำคือคนอื่นให้เราเป็น และถ้าเราไม่ทุ่มเท ไม่เสียสละมากกว่าผู้อื่น ก็ยากที่จะเกิดการยอมรับ ซึ่งไม่ได้สำคัญกว่าเป็นที่นามสกุล แต่นามสกุลมีส่วนดี อย่างน้อยคือได้รับโอกาส ได้รับความไว้วางใจเร็วถ้าเราทุ่มเทและเสียสละ ฉะนั้นในการทำงานในระบบที่เราต้องเจอกับมืออาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญว่าเราต้อง แสดงให้เห็นว่าเราทุ่มเทและเสียสละไม่แพ้กัน และความจริงต้องมากกว่า เพราะลึก ๆ แล้วส่วนหนึ่งในใจของมืออาชีพจะคิดว่าเราได้เปรียบหลายอย่าง ฉะนั้นต้องยอมเสียเปรียบเป็น” นอกจากได้รับการยอมรับจากผู้ร่วมงานแล้ว อีกสิ่งที่คุณศุภชัยให้ความสำคัญคือ การยอมรับจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งจะต้องมีความโปร่งใส ยิ่งถ้าเราเป็นสมาชิกของครอบครัวแล้วเราบริหารงานรับช่วงต่อ ยิ่งต้องเป็นผู้เสียสละ “ทำมากกว่า ได้น้อยกว่า” เป็นปรัชญาที่ใช้ได้ทั้งในครอบครัว และในการทำธุรกิจ ต้องรู้จักเสียเปรียบ เพราะความเสียสละสามารถสร้างความไว้วางใจ ยิ่งเป็นญาติพี่น้องกันยิ่งต้องให้ความรู้สึกที่ห่วงใยเป็นพิเศษ เพราะทำให้เกิดการผิดหวังได้ง่ายกว่าคนนอกโดยทั่วไป ฉะนั้นการระมัดระวังความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ต้องให้เกียรติ ต้องห่วงใยกับความรู้สึก ต้องเสียสละ นี่เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับการทำงานในแวดวงธุรกิจในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณศุภชัย บอกว่า ธุรกิจด้านเกษตรและอาหารในเครือเจริญโภคภัณฑ์ก็จะเน้นไปในระดับโลกมากขึ้น ส่วนธุรกิจด้านโทรคมนาคม มีการตั้งเป้าหมายของ “ขนาด” ว่าจะต้องเป็นผู้เล่นในระดับภูมิภาคให้ได้ นอกจากนี้ในกรณีของ Digital Media หรือที่สมัยนี้เรียกว่าดอทคอม ก็มีการตั้งเป้าหมายว่าเราควรจะต้องมีส่วนแบ่งในตลาดโลก หรืออย่างน้อยเข้ามาใช้บริการโดยเฉพาะในเรื่องอีคอมเมิร์ซ หรือในเรื่องของออนไลน์ คอนเทนต์ : online content โดยตั้งเป้าหมายไว้จำนวน 10% ของประชากรโลก นอกจากการขยายงานด้านธุรกิจแล้ว สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือการตอบแทนสังคม ซึ่งหนุ่มคนนี้ยึดคติว่า “ธุรกิจยั่งยืน ต้องรับผิดชอบต่อสังคม”. นภาพร พานิชชาติ napapornp@dailynews.co.th ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/article/2567/215513
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)