ดัน 4 โครงการพยุงเศรษฐกิจไทย
“สมคิด” รายงาน “บิ๊กตู่” สร้างแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4 เรื่อง ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้น เน้นสร้างการเติบโตจากภายใน
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมครม.วันนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงแนวทางการการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ช่วงต่อจากนี้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีปัญหา โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจให้เติบโตจากภายใน ด้วยการขับเคลื่อนงานหลัก ๆ 4 เรื่อง เริ่มจากการส่งเสริมให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น ,การส่งเสริมให้เกิด 1 ตำบล 1 เอสเอ็มอี ,การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนด้านการท่องเที่ยวในทองถิ่น และการสร้างตลาดกลางค้าขายสินค้าเกษตร
ทั้งนี้ในแนวทางการประคับประคองเศรษฐกิจดังกล่าวนั้น เรื่องแรกที่มีการสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในชนบท เช่น การสร้างลานตากผลผลิตทางการเกษตร การทำยุ้งฉาง รัฐบาลจะใช้การขับเคลื่อนแบบประชารัฐ โดยให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบไปเร่งดำเนินการต่อมาคือ สร้าง1ตำบล 1เอสเอ็มอี ซึ่งรัฐบาลจะมีการออกมาตรการส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการเทคโนโลยีใหม่ (เทค สตาร์ทอัพ)
ขณะที่การลงทุนด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น จะเริ่มทำตั้งแต่ระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ซึ่งกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กำลังพิจารณาสิทธิประโยชน์จูงใจให้เกิดการลงทุน ส่วนสุดท้ายเป็นการสร้างตลาดกลางค้าขายสินค้าเกษตร เพื่อให้เกษตรในพื้นที่สามารถนำผลผลิตมาจำหน่าย
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ในปี 59 นี้ รัฐบาลจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยดูแลการเติบโตทางเศรษฐกิจในอยู่ในระดับที่เหมาะสมและควรจะเป็น รวมทั้งปฏิรูปเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโตจากภายใน โดยมีมาตรการส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการเทคโนโลยีใหม่ เป็นหนึ่งในแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อขยายธุรกิจและตลาดใหม่ ยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้แข่งขันได้มากขึ้น โดยรัฐบาลจะสร้างการตื่นตัวครั้งใหญ่ ด้วยการจับมือทุกฝ่ายทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตร ดิจิทัล เทคโนโลยี และธุรกิจบริการ มาร่วมกันคิดและสร้างเจ้าของธุรกิจที่ใช้นวัตกรรมตั้งแต่ระดับเล็ก กลาง ใหญ่ ช่วยให้เกิดการจ้างงาน และสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่เป็นทางเลือกใหม่ของตลาด
สำหรับแนวทางที่รัฐบาลจะดำเนินการ คือ การจัดตั้ง เนชั่นแนล สตาร์ทอัพ เซ็นเตอร์ เชื่อมโยงบัญชีนวัตกรรมที่มีอยู่ในแต่ละกระทรวงและจดทะเบียนสตาร์ทอัพทั้งหมด ส่งเสริมให้สตาร์ทอัพ เหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทั้งจากธนาคารของรัฐและเอกชน รวมถึงมีกองทุนร่วมลงทุนให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ด้วยกันเอง หรือสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยเป็นผู้สนับสนุนความรู้
“สิ่งสำคัญที่รัฐบาลคิดคือ การนำภาคเกษตรเข้าสู่ระบบนี้ เพราะต้องการปฏิรูปการเกษตรของประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้น และแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดความยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมสตาร์ทอัพ เกษตรอุตสาหกรรมรายย่อยในท้องถิ่น 1 ตำบล 1 เอสเอ็มอี อย่างครบวงจรตั้งแต่การให้ทุน ผลิต แปรรูป และจัดหาตลาด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นหนึ่งในแนวทางการปฏิรูปประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการให้ได้ภายในปีนี้”
ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/economic/372665 (ขนาดไฟล์: 167)