เปิดใจเหยื่อเมาแล้วขับ สูญเงินล้าน พิการครึ่งท่อน ชีวิตพังทลาย
[/p]
[b]"นี่คงเป็นการตายแบบสมบูรณ์" :[/b]
เหตุการณ์ความสูญเสียของพี่เจษ เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. ของวันอังคาร ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2544 หรือ 22 ปีที่แล้ว หลังจากเขาและภรรยา กำลังมุ่งหน้าสู่ที่พักด้วยรถจักรยานยนต์ โดยหวังกลับไปล้มตัวลงนอน เอนกายคลายความเหนื่อยล้า จากงานที่ทำมาตลอดทั้งวัน
เพียงประมาณ 200 เมตร ก่อนถึงจุดหมาย พวกเขาจอดรถรอสัญญาณไฟจราจร อยู่ที่เลนซ้ายสุดจากถนนที่มีทั้งหมดสี่เลน "ผมจอดซ้ายสุดเพราะคิดว่ามันปลอดภัย ที่จริงตอนนั้นประมาณตีสอง ถ้าเป็นช่วงวัยรุ่นผมคงฝ่าไฟแดงไปแล้ว แต่ขณะนั้นด้วยวัยวุฒิ มีครอบครัว และลูก 2 คน จึงคำนึงถึงความปลอดภัย เลือกไม่ประมาท เลยจอดรอให้ไฟเขียวดีกว่า"
ขณะที่รอสัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว แสงไฟสีขาวจากรถยนต์คันหนึ่ง สะท้อนเข้ากระจกยานพาหนะของทั้งคู่ เข้าตาพวกเขาจนทำให้ทัศนวิสัยไม่ชัดเจน เพียงเสี้ยววินาทีของแสง 'แวบ' ราวกับฉากในละครนั้น กลายเป็นจุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่ของ 'ครอบครัวแย้มสบาย' ไปตลอดกาล!
"ผมมองไม่เห็นว่ามีพุ่งมาจากด้านหลัง แสงแวบเข้ากระจกรถ พร้อมกับเสียงชนดังตูมตามมาติดๆ ร่างภรรยากระเด็นออกด้านข้างถนนไป ส่วนร่างของผมติดอยู่ใต้ท้องรถ ถูกลากยาวไปไกลประมาณ 25 เมตร โชคดีที่มีคนขับรถแท็กซี่ และพี่วินจักรยานยนต์ขวางไว้พอดี ทำให้รถคู่กรณีหยุด ไม่งั้นผมน่าจะโดนลากไปยาวกว่านั้น"
เราถามว่า หลังจากโดนรถลากไปแล้ว ภาพความทรงจำตัดหรือไม่ "ไม่ตัดครับ ถ้าตัดก็ดี ไม่อยากจำให้มันหลอน" เหยื่อเมาแล้วขับกล่าวตอบ พร้อมน้ำตาที่รื้นออกมาปนกับรอยยิ้มเล็กๆ บนในหน้า ซึ่งดูแล้วอาจจะขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่นั่นคงแสดงถึงความทรงจำอันเจ็บปวดในใจชายคนหนึ่ง ที่เขาต้องแบกและยอมรับให้ได้แม้จะอยากลืมก็ตาม
"ผมนอนอยู่ใต้ท้องรถซึ่งทับผมอยู่ มองเห็นขาคนเต็มไปหมด มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวโวยวายกระจายโดยรอบ กระจกหมวกกันน็อกแตก สักพักมีคนมายกรถให้ตะแคงข้าง ก่อนที่พี่ผู้ชายคนหนึ่งจะดึงตัวผมออกจากจุดนั้น พร้อมปลดหมวกกันน็อกที่รัดแน่นออกให้"
ร่างกายของพี่เจษตอนนั้นเข้าขั้นที่เรียกว่า "แย่" ร่างที่เคยสะอาดถูกชะโลมด้วยเลือด บาดแผลน้อยใหญ่มีให้เห็นทั่วร่างกายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณแขนข้างซ้าย ที่ผิวหนังและเนื้อหลุดออกจนเห็นกระดูกชัดเจน ส่วนบริเวณท้องมีไส้ไหลออกมา… แค่คิดภาพตามเราก็รู้สึกเจ็บปวดไปหมด
"แผลผมเต็มตัวไปหมด แต่แค่รู้สึกชาไม่รู้สึกเจ็บ ตอนนั้นง่วงเหมือนจะหลับ แต่ได้ยินเสียงผู้ชายคนดึงตะโกนพร้อมบีบหน้าว่า "พี่อย่าหลับนะ" ซึ่งตอนนั้นผมห่วงแฟนมากว่า จะพูดถามว่าแฟนอยู่ไหน ปากมันก็เปล่งเสียงออกมาไม่ได้เลย"
ผ่านไปสักครู่ ผู้เป็นภรรยารีบวิ่งมาดูอาการสามี ภาพที่พี่เจษจำได้ ภรรยาตรงหน้ามีเลือดและรอยแผลเต็มตัว พร้อมกับเสื้อผ้าที่สภาพขาดรุ่งริ่ง "เราคิดว่ายังไงตัวเองก็ไม่รอด อยากจะพูดบอกแฟนว่า ดูแลลูกด้วยนะ เพราะเราห่วงลูกมาก แต่ก็พูดไม่ออก" เหยื่อเมาแล้วขับเล่าพร้อมเสียงสะอื้น
พี่เจษบอกกับเราว่า "ตอนนั้นง่วงเหมือนจะหลับ ในใจได้แต่คิดว่า นี่คงเป็นการตายแบบสมบูรณ์ แต่ที่ไหนได้ นี่มันนรกชัดๆ!"
ส่วนคู่กรณีนั้น ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ครอบครัวแย้มสบายฟังว่า หลังจากที่วินจักรยานยนต์เปิดประตูรถออก เขาก็วิ่งหนีเตลิดออกไปคล้ายคนขาดสติ ก่อนจะจับตัวได้ภายหลัง และนำตัวไปยังสถานีตำรวจ แต่ด้วยอาการเมาพูดไม่รู้ความ ครั้นจะซักถามไถ่ก็ไม่รู้เรื่อง ตำรวจจึงตัดสินใจให้เข้าไปอยู่ในห้องขัง กว่าเจ้าตัวจะได้สติสัมปชัญญะกลับมา เวลาก็ปาไป 10.00 น.แล้ว
เปิดใจเหยื่อเมาแล้วขับ สูญเงินล้าน พิการครึ่งท่อน ชีวิตพังทลาย