ลูกคือแก้วตาดวงใจ! “พ่อหนึ่ง-แม่นุช” ยอมออกจากงานประจำ มาค้าขายอยู่บ้าน เพื่อดูแลลูกพิการทั้งสอง หวังให้ลูกอยู่ได้ ในวันที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว
[/p]
ปัจจุบัน น้องริวอายุ 18 ปีแล้ว แม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็รับรู้ในสิ่งที่พ่อแม่สื่อสาร และแม้ว่าน้องจะมีภาวะแขนขาลีบเล็ก แต่น้องก็มีความแข็งแรงถึงขนาดสามารถใช้มือหมุนวงล้อรถวีลแชร์ที่ตัวเองนั่งให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้ในระยะใกล้ๆ โดยไม่ต้องมีใครช่วย
หลังน้องริวมีพัฒนาการดีขึ้นมาก พ่อกับแม่จึงตัดสินใจมีน้องต้นหลิว เพื่อให้เป็นเพื่อนกับพี่ชาย เพราะหมอเคยให้ความมั่นใจแล้วว่า โอกาสที่ลูกคนที่สองจะซ้ำรอยลูกคนแรก ยากมากๆ
[b]"ต้นหลิวก็คลอดมาปกติทุกอย่าง ไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน ทางหมอเด็กก็ทักว่า น้องเหมือนจะศีรษะโตมากผิดปกตินะ ...พอหมอให้ไปทำซีทีสแกน แล้วผลออกมาว่า น้องเป็นเหมือนพี่ริว ผมก็โลกทั้งใบมันมืดไปหมด น้ำตงน้ำตามันไหลออกมาตอนไหนไม่รู้"[/b]
แม้น้องต้นหลิวจะเป็นโรคเดียวกับพี่ชาย แต่โชคดีที่น้องถูกพบความผิดปกติเร็วกว่า การผ่าตัดรักษาจึงทำได้ทันท่วงทีกว่า แต่ถึงกระนั้นน้องก็มีพัฒนาการที่ช้ามาก
[b]"ต้นหลิวพูดคำแรกได้ น่าจะอายุ 4-5 ขวบ กว่าจะเดินประมาณ 6 ขวบ ตอนนี้น้องอายุ 14 ขาข้างซ้ายเขาเดินไม่ค่อยสมบูรณ์ พยายามนวดให้เขา ...ทุกวันนี้ ก็ฝึกให้เขาเข้าห้องน้ำเองได้ แต่ก่อนนี้เขาก็ทำเรี่ยราด ต้นหลิวใส่แพมเพิสมาตลอด เพิ่งจะให้เขาหยุดใส่เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง"[/b]
หลังพ่อหนึ่งออกจากงานประจำมายึดอาชีพขับแท็กซี่ เพื่อมีเวลาดูแลลูกไปด้วย เมื่อขับจนรถปลดระวางที่ 9 ปี ประกอบกับน้องต้นหลิว ไม่สามารถไปโรงเรียนได้แล้ว เพราะพัฒนาการช้าและน้องเริ่มโต พ่อหนึ่งจึงตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพอีกครั้งเพื่อลูก
[b]"ตอนนั้นทางโรงเรียนเขาแจ้งว่า น้องเริ่มโต ใกล้จะมีรอบเดือนแล้ว เขาก็กลัวว่า เดี๋ยวเขาจะเป็นภาระของครูด้วย เราก็นั่งคุยกับแฟน ถ้าพี่ยังทำงานแบบนี้ จะทำยังไงกันดี ลูกคงเรียนต่อไม่ได้แล้ว ลองมาทำค้าขายดูไหม ...ต้นหลิวชอบกินบะหมี่ ผมเองก็ชอบเหมือนกัน เลยศึกษาการทำบะหมี่ ถ้าเราทำเส้นบะหมี่เองได้ ก็จะเป็นจุดขาย"[/b]
ในที่สุด พ่อกับแม่ก็เปิดร้านขายบะหมี่ โดยใช้ชื่อว่า "ต้นหลิวบะหมี่สดเกี๊ยวไส้ล้น" จุดเด่นของบะหมี่ที่นี่คือ"สดใหม่ทุกวัน ทำวันต่อวัน และจะไม่ใส่สารกันบูดสารกันราเลย เพราะลูกสาวเองก็กินเกือบทุกวันเหมือนกัน"
ส่วนสาเหตุที่ใช้ชื่อน้องต้นหลิวเป็นชื่อร้าน เนื่องจากพ่อและแม่อยากทำตรงนี้ไว้ให้ลูกได้มีอาชีพในอนาคต"นุชไม่อยากให้ต้นหลิวหรือพี่ริวเป็นภาระของสังคม นุชมองว่าอันไหนที่เราทำให้ลูกได้ เราต้องทำ อยากให้เขาดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้ ในวันที่ไม่มีเรา"
แม้ก่อนมีโควิดจะขายดี แต่หลังสถานการณ์โควิดบวกภาวะเศรษฐกิจทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ค่อยนิยมนั่งทานในร้าน หันมาสั่งผ่านออนไลน์กันมากขึ้น ส่งผลให้พ่อหนึ่งและแม่นุชตัดสินใจเลิกเช่าร้าน เพราะแบกค่าเช่าไม่ไหว หันมาทำบะหมี่ขายที่บ้านแทน (จ.ชลบุรี) ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มอาหารอีก 1 เมนูคือ ข้าวหมูแดง เมื่อมีลูกค้าสั่ง ก็พร้อมทำไปส่ง
ลูกคือแก้วตาดวงใจ! “พ่อหนึ่ง-แม่นุช” ยอมออกจากงานประจำ มาค้าขายอยู่บ้าน เพื่อดูแลลูกพิการทั้งสอง หวังให้ลูกอยู่ได้ ในวันที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว