"ยิ้มสู้คาเฟ่" ไม่ยอมแพ้ และพร้อมเป็นผู้ให้ : ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์
[/p]
[b] “การทำงานที่ท้าทาย ผมว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะในสังคมไทยเพราะคนไทยเราเอง ไม่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถไร้ขอบเขต ไม่ใช่แต่เรื่องของคนพิการ แต่คนพิการยังมีคนคอยสั่งสอนว่า จงเชื่อนะว่าความสามารถของเรา ไร้ขอบเขต ผมว่าสังคมไทยก็ต้องเชื่อเช่นเดียวกัน เพื่อเราจะได้ยกระดับประเทศเรา ให้มีศักยภาพสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ” [/b]
ประสบอุบัติเหตุสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างตั้งแต่อายุ 15 ปี ทำให้กลายเป็นผู้พิการทางสายตา แต่ด้วยความมานะและไม่ท้อแท้ต่อโชคชะตา ทำให้ขวนขวายจนประสบความสำเร็จในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน การทำงาน หรือแม้แต่การแก้กฎหมายให้ผู้พิการเพื่อให้มีโอกาสเท่าเทียมกับคนทั่วไป
บทสัมภาษณ์ ศาสตราจารย์ วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ดูแลธุรกิจในแบรนด์ “ยิ้มสู้”
เกิดอุบัติเหตุ ตาบอดตั้งแต่อายุ 15 ปี ผมเกิดมาในชนบท จังหวัดนครราชสีมา เกิดขึ้นมาก็เหมือนเด็กทั่วไป แต่พออายุ 15ปี ไปเล่นระเบิดจนทำให้ตาบอด ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเวียดนาม วัตถุระเบิดจะเยอะหน่อย
พอตาบอดก็เลยได้เข้าไปเรียนโรงเรียนคนตาบอด โชคดีได้พบกับมิสเจนีวีฟ คอลฟิลด์ (Miss Genevieve Caulfield) สตรีตาบอดชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งโรงเรียน และซิสเตอร์โรสมัวร์ แม่อธิการโรงเรียน ที่บอกว่าโชคดีคือท่านเริ่มเปลี่ยนความคิดของผมก่อนเลยครับ ท่านบอกว่าโดยทั่วไปคนตาบอดมักคิดว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ เพราะถ้าเราเชื่อว่าเราทำอะไรไม่ได้ มันจะทำอะไรไม่ได้จริง ๆ ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนความเชื่อให้ได้ก่อนว่าคนตาบอดทำได้ทุกอย่าง และต้องหางานท้าทายทำ เพราะงานท้าทายจะสามารถดึงความสามารถของคนพิการออกมาได้ เราทำงานท้าทายมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ความสามารถของเราจะขยับสูงไปเรื่อย ๆ อันนี้คือเรื่องสำคัญ
"ยิ้มสู้คาเฟ่" ไม่ยอมแพ้ และพร้อมเป็นผู้ให้ : ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์