เกษตรพอเพียง วิถียั่งยืน ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว พิสูจน์แล้วทำได้จริง ที่ชลบุรี
[/p]
[b]หลังจากนั้น ย้ายมาทำที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม มีหน้าที่ส่งเสริมเกษตรกร แต่คิดว่าสิ่งที่ทำไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร สิ่งที่คิดไว้กับความเป็นจริงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ครั้งตอนที่ทำงานได้มีการแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชหลายชนิดมาก ทั้งยูคาลิปตัส มะม่วงหิมพานต์ และพืชชนิดอื่นอีกมากมาย ถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่แนะนำให้เกษตรกรปลูกไปดีหรือไม่ดี ได้ผลบ้างหรือเปล่า ในสมัยนั้นสอนชาวบ้านและเกษตรกรด้วยวิธีการเรียกชาวบ้านมานั่งฟังความรู้ มีทีวี 1 เครื่อง เปิดองค์ความรู้ให้ชาวบ้านดู มีวิธีการ ปลูกฝังแนวคิดให้เกษตรกรต่างๆ นานา เช่น “ถ้าคุณปลูกมันสำปะหลังก็จะจนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าปลูกมะม่วงหิมพานต์คุณก็จะรวย” แต่พอปลูกจริงๆ แล้วไม่ได้ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาทำให้ผมมานั่งคิดว่าคนที่เรียนเกษตรก็หวังว่าทำงานปลูกพืช แล้วขายเป็นอาชีพได้ดี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ สังคมเปลี่ยนแปลงมากขึ้น เราเริ่มสนใจการพัฒนาองค์รวม ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากราชการ เพราะผมใช้ชีวิตแบบพอเพียง คือไม่สร้างหนี้สร้างสิน ไม่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย จึงกล้าตัดสินใจลาออกจากงานเมื่อปี พ.ศ. 2550 แล้วกลับมาพัฒนาที่ดินของปู่ ย่า ตา ยาย ที่ทิ้งไว้ให้จำนวน 20 ไร่[/b]
ลาออกจากงาน ทำเกษตรพอเพียง มีกิน มีใช้ ไม่ขัดสน
[b]คุณพีระพงษ์ มีพื้นที่ในการทำเกษตรทั้งหมด 20 ไร่ แต่ไม่ได้ทำเองทั้งหมด เขาได้แบ่งไว้ทำเพียง 7 ไร่ ที่เหลือแบ่งให้เพื่อนบ้านที่อยากทำเกษตรปลูกพืชผักไว้กินเอง หรือปลูกเป็นอาชีพเสริม ถือว่าแบ่งปันกันไป[/b]
เดิมทีพื้นที่ตรงนี้ถือว่าเป็นดินชั้นดี เพราะใช้น้ำจากชลประทานอ่างเก็บน้ำบางพระ เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุด แต่ก่อนมีพื้นที่หมื่นกว่าไร่ทำการเกษตร ในปัจจุบันเหลือเพียง 1,000 กว่าไร่ ช่วงแรกที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ ผมเริ่มจากการทำนา ปลูกข้าวปทุมธานีและข้าวไรซ์เบอร์รี่ ผ่านมาช่วงหนึ่งต้องประสบกับปัญหาเรื่องน้ำ ตนจึงเริ่มปรับพื้นที่ใหม่จากทำนาเยอะๆ ก็เริ่มเปลี่ยนพื้นที่โดยยึดหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ แบ่งพื้นที่เป็น 30 : 30 : 30 : 10 มีน้ำ มีข้าวไว้กิน เลี้ยงปลาดุก ปลานิล ปลาทับทิมไปด้วย มีพืชอื่นเยอะแยะ ได้ความสุขและไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ ได้สุขภาพที่ดีด้วย
นาข้าวอินทรีย์