ประสบวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ กลับบ้านเกิด ยึดอาชีพเกษตรพอเพียง มีอยู่ มีกิน มีความสุข
[/p]
[b] “อย่างสถานีปลูกป่า เน้นให้ความสำคัญในการปลูกป่า โดยเฉพาะต้นพะยูง เพราะถ้ามีป่าเกิดขึ้นความสมบูรณ์ทางธรรมชาติจะกลับคืนมา สำหรับสถานีนี้ปลูกต้นพะยูง จำนวน 500 ต้น แบ่งออกเป็น 2 แห่ง มีอายุการปลูก 2 ปีครึ่ง โดยมีแนวคิดว่า ในเวลา 10 ปี คุณจะมีเงินถึง 500 ล้าน” [/b]
สำหรับผู้ทำกิจกรรมอาจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกต้องการทำเพื่อไว้เลี้ยงครอบครัวอย่างพอเพียง กับอีกกลุ่มที่ทำเพื่อเป็นรายได้เสริมหรืออาจขยายเป็นรายได้หลักในเวลาต่อมา
คุณเชิดชัย แนะว่าการที่ชาวบ้านหรือผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้ในศูนย์จะนำเอาแบบอย่างไปใช้ทันทีไม่ได้ เพราะต้องปรับให้มีความเหมาะสม พร้อมกับต้องพิจารณาว่าในพื้นที่ตัวเองเหมาะสมกับการทำเกษตรกรรมชนิดใด อย่าเลียนแบบคนอื่น ควรเริ่มต้นทำทีละเล็กน้อยก่อน อย่าใจร้อน ควรมีการปรับพื้นที่ให้เรียบร้อยก่อน มีการจัดวางผังการทำกิจกรรมต่างๆ ไว้ ดูเรื่องน้ำ ดิน ปุ๋ย แล้วควรหาตลาดรองรับไว้ด้วยเผื่อประสบความสำเร็จได้ดีมีปริมาณเพียงพอเกินตามความต้องการจะได้นำไปขายมีรายได้เกิดขึ้น
คุณเชิดชัย ชี้ว่าจากปัญหามูลฐานของพี่น้องเกษตรกรที่วนเวียนอยู่กับความยากจน มีหนี้สิน ปลูกผลผลิตทางการเกษตรอะไรก็ขาดคุณภาพ ขาดมาตรฐาน ขาดการยอมรับทางด้านการตลาด ถึงแม้ปัญหาเหล่านั้นจะได้รับการส่งเสริมให้ความรู้จากเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในพื้นที่แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนจะยังไม่ตรงเป้าหมายของการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
ในปี 2557 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเรื่องเกษตร แล้วปรับแนวคิดที่เปลี่ยนมาให้ปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับชาวบ้าน เป็นที่ยอมรับทางความสามารถในเชิงภูมิปัญญา อีกทั้งยังเป็นคนที่ตกผลึกทางความคิดทางการเกษตรที่อยู่ในท้องถิ่นชุมชนแต่ละแห่ง โดยให้มาเป็นวิทยากรแทนเจ้าหน้าที่ของรัฐ พร้อมกับถอดบทเรียนสภาพความจริงของปัญหาเพื่อจัดเป็นหลักสูตรแล้วบูรณาการทุกภาคส่วนในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานตามแผนโรดแมปที่กำหนดไว้เพื่อเป็นการเติมเต็มความสมบูรณ์ของศูนย์แต่ละแห่งให้มีมาตรฐานเดียวกัน
พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน