จากรากแก้วบนขุนเขาที่หนาวเหน็บ สู่โครงการหลวง เมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืน บนผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ
[/p]
[b]สำหรับสตรอเบอรี่นั้น ในปี พ.ศ.2515 โครงการหลวงได้นำพันธุ์สตรอเบอรี่จากต่างประเทศมาทดลองปลูกประมาณ 40 พันธุ์ และดำเนินการวิจัย คิดค้น และคัดเก็บไว้ 2 พันธุ์ เพื่อนำไปให้ชาวบ้านทดลองปลูก โดยพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมในขณะนั้น คือ พันธุ์พระราชทานเบอร์ 16[/b] ต่อมาได้มีการปรับปรุงพันธุ์สตรอเบอรีเพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย รวมถึงการศึกษาการปฏิบัติรักษาที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดีปัจจุบันโครงการหลวงได้มีการส่งเสริม สนับสนุนองค์ความรู้ เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแม่งอนและดอยอ่างขางปลูกสตรอว์เบอร์รี่เพื่อจัดจำหน่ายทั้งแปรรูปและผลิตภัณฑ์สด ซึ่งพันธุ์สตรอว์เบอร์รี่ที่นิยมนำมาแปรรูปได้แก่ พันธุ์ 329 เป็นพันธุ์ที่มีผลขนาดใหญ่ รสชาติเปรี้ยว ขณะเดียวกันสำหรับพันธุ์ 80 เหมาะสำหรับทานสดๆ มีความหอม หวาน กลิ่นสดชื่นและแต่ละลูกมีขนาดพอดีกับการรับประทาน
ซึ่งจากการสอบถามเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแม่งอนและดอยอ่าง เล่าว่า การได้รับองค์ความรู้จากมูลนิธิโครงการหลวงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในแง่ของการประกอบอาชีพ [b]ซึ่งสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของแต่ละครอบครัวได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน อย่างไรก็ดีสำหรับฤดูการของการปลูกสตรอว์เบอร์รี่นั้นจะเริ่มขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม – ธันวาคม หลังจากนั้นในเดือน มกราคม – มีนาคม คือระยะเก็บเกี่ยว และช่วงเวลาที่เหลือคือการปรับปรุงคุณภาพดินให้พร้อมต่อการปลูกในฤดูกาลใหม่ต่อไป[/b]
นอกจากนี้นักวิชาการมูลนิธิโครงการหลวงเล่าว่า เหตุผลที่ต้องสนับสนุนให้ปลูกสตรอว์เบอร์รี่ ทั้ง 2 สายพันธุ์ นั้น เนื่องจากต้องการศึกษา ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น วัชรพืช สภาพภูมิอากาศ ตลอดจนความต้องการของผู้บริโภค และเก็บผลวิจัยพันธุ์สตรอว์เบอร์รี่จากหลากหลายภูมิประเทศ เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดและเผยแพร่ให้แก่เกษตรกรต่อไป และด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง มูลนิธิโครงการหลวงได้ปรับปรุงพันธุ์สตรอว์เบอร์รี่มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 ในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จนได้สตรอว์เบอร์รี่ พันธุ์พระราชทาน 88 เป็นพันธุ์ลูกผสมระหว่างพันธุ์พระราชทาน 80 และพันธุ์พระราชทาน 60 โดดเด่นในเรื่องของรสชาติที่มีความหวาน ผลมีลักษณะทรงกรวยและปลายแหลม ผิวสีแดงสดน่ารับประทาน ซึ่งขณะนี้ได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตร โดยคาดว่าจะขยายพันธุ์สตรอว์เบอร์รี่ดังกล่าวและส่งเสริมให้แก่เกษตรกรในปีฤดูปลูก พ.ศ.2559 – 2560
นอกจากถั่วแดงหลวงและสตรอเบอรี่ส่วนหนึ่งของผลงานวิจัยที่นำไปสู่การพัฒนาอาชีพของชาวเขา คือ กาแฟอราบิก้า โดยในปี พ.ศ.2515 ม.จ.ภีศเดช รัชนี ได้มอบให้นักวิจัยศึกษาและปลูกกาแฟอราบิก้าในพื้นที่โครงการหลวง ผลปรากฏว่าสามารถเจริญเติบโตได้ดี จึงได้ต่อยอดศึกษาพันธุ์กาแฟอราบิกาต้านทานโรคราสนิม รวมถึงศึกษาด้านการปฏิบัติรักษาการปลูกกาแฟอราบิก้าด้านต่างๆ จากนั้นในปี พ.ศ.2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรต้นกาแฟอราบิก้าที่ ปลูกโดยเกษตรชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงบ้านหนองหล่ม ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง เป็นครั้งแรก ถือได้ว่าเป็นขวัญและกำลังใจที่สำคัญต่องานวิจัยและพัฒนาการปลูกกาแฟอราบิก้าของประเทศจวบจนถึงปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านั้นสำหรับพืชผักเขตหนาว [b]ในฤดูปลูกปี พ.ศ. 2524 โครงการหลวงได้เริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชผักเขตหนาวที่โครงการ หลวงแม่แฮ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น พืชผักชนิดต่างๆ ได้แก่ ผักกาดหอมห่อ ผักกาดหางหงส์ และแครอท ปรากฏว่าปลูกได้ผลดี[/b] ทำให้มีผู้นิยมปลูกผักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับไม้ผลเขตหนาว โดยชนิดและพันธุ์ไม้ผลเขตหนาว ไม้ผลกึ่งหนาว และไม้ผลขนาดเล็กชนิดต่างๆ ที่เหมาะสมกับการปลูกบนพื้นที่สูงของประเทศไทยนั้นประกอบไปด้วย เช่น พีช สาลี พลับ พลัม บ๊วย อโวกาโด กีวีฟรุต เสาวรส ซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกร ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับไม้ตัดดอกและไม้ประดับ โครงการหลวงได้ดำเนินวิจัยและได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศ โดยได้นำไม้ตัดดอกชนิดต่างๆมาทดลองปลูก อาทิ คาร์เนชัน เบญจมาศ แกลดิโอรัส ซิมบิเดียม
[b]นอกจากไม้ยืนต้นและพืชอายุสั้นอย่างเช่นถั่วแดงหลวงกับสตรอเบอรี่ ทางโครงการหลวงยังพัฒนาคุณภาพชีวิตในมิติต่างๆ เพื่อหารายได้และสร้างความมั่นคง เช่น งานหัตถกรรม การเลี้ยงสัตว์ การปลูกเห็ดเมืองหนาว[/b]
โดยมีทางมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพเข้ามาให้คำแนะนำเพิ่มเติม จะเห็นได้ว่าถ้าเราสามารถจัดการให้ชาวเขามีการปลูกไม้ผลยืนต้นเป็นพืชหลัก และพาพืชอายุสั้นอื่นๆ ที่เหมาะสมกับท้องถิ่นให้ปลูกได้ตลอดปี โดยอาจมีงานพิเศษเสริมผนวกเข้าไปด้วย เป็นดั่งการวางรากแก้วที่สำคัญในการสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตได้ดีกว่าการปลูกฝิ่นอย่างแท้จริง ดังเช่นกระแสพระราชดำรัสตอนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานในโอกาสที่ผู้อำนวยการโครงการหลวงนำคณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าถวายเงิน เพื่อพระราชทานแก่โครงการหลวง เมื่อวันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2534 ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
จากรากแก้วบนขุนเขาที่หนาวเหน็บ สู่โครงการหลวง