มาด้วยใจภักดิ์ ไม่เคยย่อท้อ
[b]นายอุดมโชค ชูรัตน์อายุ 59 ปี อัมพาตครึ่งตัว ครูโรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่พัทยา ร่วมเดินทางมากับคนพิการจากมูลนิธิพระมหาไถ่ เพื่อการพัฒนาคนพิการ จ.ชลบุรี กล่าวว่า[/b] วันนี้มากันประมาณ 35 คน โดยออกเดินทางจาก จ.ชลบุรี เวลา 03.00 น. และมาถึงสนามหลวงเวลา 05.00 น. พวกเราทุกคนต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีน้ำพระทัยช่วยเหลือทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือ [b]โดยเฉพาะคนพิการ ซึ่งทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า[/b] งานช่วยเหลือคนพิการมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าผู้พิการไม่ได้อยากจะเป็นผู้พิการ และอยากช่วยเหลือตนเอง เราต้องช่วยเขาให้ช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งที่ผ่านมาตัวเองก็ใช้ความรู้และความสามารถที่ตนมีไปช่วยเหลือคนอื่นตามพระราชดำรัสของพระองค์
"ผมติดตามข่าวที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามสถานที่ต่างๆ เคยคิดน้อยใจว่า เราอยู่ภาคกลางก็อยากจะได้เฝ้ารับเสด็จฯ บ่อยๆ บ้าง แต่พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือตามถิ่นทุรกันดารบ่อยมาก พอมาคิดอีกทีก็เข้าใจว่ายังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่าเราอยู่อีกจำนวนมาก พระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนมาโดยตลอด [b]ผมดีใจมากที่ได้มาสักการะพระบรมศพ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ขึ้นไปสักการะพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่อย่างน้อยก็ได้รับการอำนวยความสะดวกให้เข้าไปกราบสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ด้านล่างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท[/b] ผมได้อธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย จากนี้จะทำตามที่พระองค์ได้พระราชทานคำสอนไว้ ซึ่งผมเป็นครูก็จะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด" นายอุดมโชคกล่าว
ด้าน [b]นายรถชัย กองปัด อายุ 28 ปี[/b] ชาว อ.เมืองจันทร์ จ.ศรีสะเกษ สวมชุดส่วยซึ่งเป็นชุดพื้นบ้าน [b]ยืนเป่าแคนสีดำยาวข้างหนึ่งประดับธงชาติไทย อีกข้างประดับธงตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยย่อ ภปร เป่าเพลงสรรเสริญพระบารมี ท่ามกลางสายตาจับจ้องชื่นชม[/b] จากมวลพสกนิกรที่เพิ่ง้สร็จจากกาเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ
"ผมมีอาชีพทำไร่ทำนา และอาชีพเสริมเป็นหมอแคน คอยเป่าให้กับคนในหมู่บ้านหายป่วย ทั้งนี้ [b]ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระองค์ ซึ่งย้อนหลังไปปี 2552 ผมป่วยไม่ทราบสาเหตุ[/b] ไปรักษาที่ไหนก็ไม่หาย ตอนนั้นร่างกายผอม เหลือง น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะตายในอีกไม่นาน จึงคิดขอพึ่งบารมีพระองค์เขียนฎีกาส่งขึ้นไปถวาย ขอให้พระองค์ส่งแพทย์มารักษาอาการป่วยดังกล่าว แต่ตอนนั้นลึกๆ ในใจไม่ได้หวังว่าจะทรงตอบจดหมายหรือไม่ ปรากฏว่า 1 เดือนให้หลังมีจดหมายมาว่าพระองค์จะส่งแพทย์มารักษา และได้รับติดต่อประสานส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดศรีสะเกษเรื่อยมา [b]จนปัจจุบันแม้ยังไม่หายขาด แต่อาการก็ทุเลาลงไปมาก[/b] ดีขึ้นจนทำให้สามารถเดินเท้าจาก จ.ศรีสะเกษตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม มาถึงสนามหลวงวันที่ 8 พฤศจิกายน รวมใช้เวลา 15 วันและมีโอกาสได้เข้าไปกราบถวายสักการะพระบรมศพเมื่อวันก่อน แต่ไม่ได้มาเป่าแคน [b]วันนี้จึงกลับมาเป่าแคนถวายตามที่ตั้งใจไว้ วันที่ได้รับจดหมายกลับมานั้น รู้สึกดีใจมาก ดีใจที่จะได้มีชีวิตต่อ วันนี้จึงต้องมาเป่าแคน โดยฝึกซ้อมเป่าเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นภายใน 3-4 วัน[/b] อย่างไรก็ดี จากนี้จะเดินรอยตามพระองค์ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การทำไร่นาสวนผสม" หมอแคนเล่าเหตุการ์ให้ฟังด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ
จากนั้น[b]นายรถชัยพาแม่และน้องชายเดินเลาะกำแพงไปด้านหน้าพระบรมมหาราชวัง บริเวณกำแพงด้านข้างประตูมณีนพรัตน์ เพื่อเป่าแคนเพลงสรรเสริญพระบารมีอีกครั้ง[/b] ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนที่มากราบถวายสักการะพระบรมศพ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่างเข้ามาขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วความชื่นชม ในช่วงบ่าย เมื่อเวลา 14.00 น. [b]ผู้พิการทางสายตาจำนวน 300 คนและจิตอาสา 100 คนจากสมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ[/b] ภายใต้การดำเนินงานของ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเบื้องหน้าพระบรมโกศ
[b]นายรัชตะ มงคลอุปนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดฯ กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงมีต่อผู้พิการทางสายตา ด้วยความซาบซึ้งว่า[/b] โรงเรียนสอนคนตาบอดฯ ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเห็นคุณค่าของผู้พิการทางสายตา สามารถมีศักยภาพในการเรียนหนังสือ มิใช่เพียงอยู่บ้านเฉยๆ เพราะเมื่อพวกเขาเหล่านั้นสำเร็จการศึกษาก็จะสามารถดูแลตัวเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี [b]พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สร้างโรงเรียนคนตาบอดในกรุงเทพฯ ขึ้น[/b]
[b] “สมัยก่อนพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล เสด็จฯไปที่โรงเรียนบ่อยมากเพื่อไปทรงเยี่ยมเยียนนักเรียนผู้พิการทางสายตา หลายครั้งที่พระองค์โปรดที่จะเล่นกับเด็กๆ โดยทรงส่งสัญญาณมายังอาจารย์ที่สายตาปกติว่าไม่ให้บอกว่าพระองค์คือใคร จากนั้นก็จะทรงใช้พระนามย่อว่า ”พล“เล่นกับเด็กๆ แทน[/b] อีกทั้งยังทรงเป็นพระอาจารย์ทรงสอนวิชาดนตรีให้แก่ผู้พิการทางสายตาด้วยนอกจากนี้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้พิการทางสายตาเรื่อยมาทุกปีจะทรงมีพระราชทานเลี้ยงอาจารย์และนักเรียนผู้พิการทางสายตาที่พระราชวังพญาไท พร้อมทรงแซกโซโฟนพระราชทานแก่ทุกคน ที่สำคัญทรงมีพระราชประสงค์อยากให้ผู้พิการทางสายตาทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตไม่ท้อถอยกับโชคชะตา [b]จึงทรงพระราชนิพนธ์บทเพลง “ยิ้มสู้” ขึ้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้พิการทุกคนมีกำลังใจในชีวิตต่อไป"[/b]
[b]นายรัชตะ กล่าวต่อว่า[/b] วันนี้ก็ถือเป็นอีกครั้งที่ผู้พิการทางสายตาทุกคนที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จะมาแสดงความกตัญญูแลร่วมถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะลูกที่ดีของพ่อ จากนี้ต่อไปถึงแม้จะไม่มีพ่ออยู่แล้ว แต่พวกเราทุกคนจะน้อมนำหลักคำสอนและพระราชจรินวัตรของพระองค์ท่านมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อไป
น.ส.พรรณี สงคราม อายุ 70 ปี หนึ่งในคณะกรรมการสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ มากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรนทรมหาภูมิพลอดุลยเดช