มืดมิดเดียวดาย ยายตาบอด อาศัยฟืนไฟนำทางชีวิต
[b]ส่วนการที่อยู่เพียงลำพังนั้น เนื่องจากพ่อแม่ได้จากไปเมื่อปี 2535 จึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านที่อาศัยที่ดินผู้อื่นกว่า 50 ปี[/b] โชคดีที่ผู้ซื้อที่เกิดความสงสาร ไม่มีการขับไล่หรือคิดค่าเช่า ขณะที่[b]ความเป็นอยู่ คุณยายอาศัยแสงสว่างในความมืดด้วยเปลวไฟจากการก่อฟืนไม้ที่หามา พร้อมใช้ในการหุงต้มอาหารไปในตัว[/b] ซึ่งก่อนนั้น ด้วยสายตาฝ้าฟางต้องออกหาฟืนไม้เอง ศรีษะได้กระแทกกับต้นไม้เต็มแรง จนเกิดแผลปูดบวมมาจนวันนี้ แต่ขณะนี้ได้มีเพื่อนบ้านคอยช่วยหามาให้ ส่วน[b]การเคลื่อนไหวภายในบ้าน ได้อาศัยประสบการณ์หลายสิบปีในการลูบคลำจนจดจำทุกซอกมุมของบ้านได้อย่างชัดเจน[/b]
หากพูดถึงญาติพี่น้อง มีบ้านญาติฝั่งพ่อซึ่งอยู่ข้างบ้าน แต่มีปัญหากันมาสมัยคุณยายยังสาว จึงตัดความสัมพันธ์ เหลือเพียงแต่ญาติฝั่งแม่ ซึ่งนานๆครั้งจะแวะมาเยี่ยมเยียน [b]ส่วนใหญ่ต้องการมารับให้ไปอยู่ด้วย แต่คุณยายไม่ต้องการ ยืนยันขออยู่ลำพังจนตายในบ้านหลังนี้ที่พ่อแม่ปลูกไว้ให้[/b] ยอมรับมีหลายคนเป็นห่วงการเป็นอยู่ เพราะเคยลื่นล้มในบ้านหลายครั้ง และเสี่ยงต่อการถูกสุนัขกัดและเกิดอุบัติเหตุได้ หากครั้งไหนต้องเดินทางไปตลาดหรือทำบุญที่วัดสะพานสูง
“แม้การอยู่ของฉันจะลำบาก มองไม่เห็น ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว สุขภาพแย่แก่ตัวขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่ต้องการไปไหนทั้งนั้น แม้จะมีญาติฝั่งนั้นมาคอยรับไปอยู่ด้วย ก็ไม่ไป จะขออยู่จนตายในบ้านหลังที่พ่อแม่ปลูกไว้ กับข้าวของที่พ่อแม่เคยซื้อไว้ให้เมื่อครั้งฉันยังเป็นเด็ก”
เมื่อถามถึงเรื่องเงินติดตัวและค่าใช้จ่าย คุณยายบอกว่า [b]อยู่ได้เพราะเงินจากผู้สูงอายุและคนพิการ แม้เพียงไม่กี่ร้อยบาทต่อเดือนก็พอประทังชีวิตไปได้[/b] อีกทั้งที่ผ่านมายังมีคนใจบุญและชาวบ้านบางคนคอยหยิบยื่นเงินให้บ้าง ก็นำมารวมๆเก็บสะสมไว้ และ[b]ล่าสุดยังได้เงินจาก “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ที่มาเยี่ยมเยียนและบริจาคเงินให้ 5,000 บาท[/b] พร้อมซื้อของใช้ใหม่รวมถึงเตาแก๊ส เพื่อไว้คอยหุงต้มอาหาร ซึ่งมีคนเคยสอนวิธีใช้แล้ว แต่ยังไม่มั่นใจความปลอดภัย หากไม่จำเป็นก็จะไม่ไปแตะต้อง
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนอกจากเสียค่าน้ำประปาไม่ถึงร้อยบาทต่อเดือน ก็ยังมีค่าอาหารที่ต้องออกไปซื้อเองบ้าง หรือ ฝากชาวบ้านซื้อเข้ามาให้ รวมๆเดือนละไม่กี่พันบาท เพราะกินอยู่อย่างประหยัด
ที่สำคัญ ช่วงเดือนก่อนได้พบกับหญิงสาวใจดี ที่พาคุณยายมาส่งถึงบ้านเมื่อครั้งพบกันที่วัดสะพานสูง [b]หลังจากนั้นชีวิตก็พลิกผันจากโดดเดี่ยวลำพังกลับกลายมีคนคอยดูแล แม้จะเข้ามาหาซื้ออาหารมาให้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง พร้อมกับคอยพาเหล่าเพื่อนมาซ่อมแซมบ้านให้ เท่านี้คุณยายก็รู้สึกซาบซึ้งและอุ่นใจ[/b] เพราะหากหวังภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือนั้น คงเป็นไปได้ยาก เพราะนานครั้งถึงจะมาเข้าถามไถ่กันสักครา
“เรื่องเงินฉันไม่ค่อยขัดสนเท่าไร เพราะมักมีคนใจดีคอยให้ฉัน 20 บ้าง 50 บ้าง ฉันก็เก็บๆไว้ใช้จ่าย ก็มีบิณฑ์นี่แหละที่มาล่าสุด แถมยังช่วยหลายอย่างๆ และให้ฉันเยอะอีก [b]แต่ที่ขาดไม่ได้ก็แม่หนูกับแฟนเขา ที่เเวะเวียนมาหา ให้เงิน ซื้อข้าวปลา หุงหาและพูดคุยกันฉัน แม้เขามาไม่ได้ทุกวัน แต่ฉันอุ่นใจแล้ว[/b] ฉันยังมีคนที่คอยห่วงใยจริงๆ นึกว่าชีวิตนี้จะโดดเดี่ยวเสียแล้ว นึกแล้วยังเสียใจอยู่เรื่องเดียว คือ ฉันไม่สามารถมองเห็น และจดจำ คนที่ทำดีกับฉันได้เลย”
MThai News จึงติดต่อไปยังหญิงสาวใจดีรายนี้ คือ [b]คุณอุษา บุญศรี อายุ 38 ปี เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ผู้ที่คอยดูแลคุณยายในช่วงนี้[/b] ได้ย้อนเรื่องราวให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา บังเอิญไปพบเจอคุณยายที่วัดสะพานสูง และคุณยายเดินชนโต๊ะจนข้าวของล้ม จึงเข้าไปช่วยพยุง [b]พบว่าคุณยายตาบอด จึงยิ่งสงสารและขอพาคุณยายไปส่งที่บ้าน[/b] ตลอดระยะทางที่เดินไปบ้านคุณยาย รู้สึกแปลกใจ เหตุใดจึงเดินออกมาถึงข้างนอกได้ ทั้งที่เส้นทางซับซ้อน ทางเดินลำบาก และยังเสี่ยงถูกสุนัขหลายตัวกัดได้ เมื่อถามไถ่ชีวิตคุณยายก็ยิ่งสงสาร จึงพยายามเข้ามาหาและดูแลพร้อมมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง
จิตอาสา ช่วยซ่อมแซม รั่วทางเดินเข้าบ้านของคุณยายบุญช่วย