เรื่องเล่าเมาแล้วขับ ตอน 1: เพื่อนตีนผี ซดเหล้า คร่าอนาคตมิตรบริสุทธิ์
“รถคันที่เรานั่งไปเป็นรถเก๋ง เรานั่งเบาะด้านหลังฝั่งซ้ายมือ พี่ผู้ชายเป็นคนขับ พี่ผู้หญิงหัวหน้านั่งข้างคนขับ ในระหว่างทาง บนถนนบางนาตราด คืนนั้นถนนดูโล่งจริงๆ โล่งจนเราสู้สึกแปลกๆ และด้วยความที่พี่ผู้ชาย[b]คนขับ เมาได้ที่อยู่แล้ว เลยทำให้ขับเร็วกว่าปกติมาก เราและหัวหน้าเตือนให้ลดความเร็ว แต่แกก็ไม่ฟัง ยิ่งเหยียบคันเร่งหนักเข้าไปอีก[/b] วันนั้นเรารู้สึกตงิดๆ เลยว่า คืนนี้เราตายแน่ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาด พี่คนขับต้องยูเทิร์นส่งเราเข้าหอพัก แต่กลับยูเทิร์นรถไม่พ้น [b]ล้อรถด้านหน้าไปชนกับเกือกม้า พอชนปุ๊บ รถหมุนเสียการทรงตัวมากกว่า 8 ครั้ง วินาทีนั้น เราพยายามเอาตัวรอดสุดชีวิตโดยการยึดเบาะนั่งด้านหน้าเอาไว้ให้แน่นที่สุด และต้านแรงเหวี่ยงของรถเอาไว้[/b] ตอนนั้นคิดว่ารอดแน่ๆ เพราะทุกส่วนของร่างกายยังรู้สึกตัวดีอยู่ และแรงเหวี่ยงของรถกำลังจะหยุดลง แต่จู่ๆ มือของเราก็หมดแรง เลยทำให้ตัวเหวี่ยงไปตามแรงรถ และ[b]ด้านหลังของคอไปฟาดอย่างแรงกับขอบประตูรถด้านขวาหลังคนขับ โดยเราบาดเจ็บแค่คอที่ไปกระแดกอย่างแรงเท่านั้น ไม่มีร่องรอยบาดแผลอื่นใด[/b]” หมึก พิมพ์ปวีณ์ จำภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดี ถึงแม้จะผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี
ณ เวลานั้น หลังจากที่รถหยุดหมุน เธอลงไปนอนอยู่ตรงที่วางเท้าด้านหลังคนขับ โดยไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เลย เสียงเครื่องยนต์และเสียงกรีดร้องของหมึกและพี่ผู้หญิงหัวหน้าเริ่มเงียบลง [b]จนได้ยินเสียงกรนเล็ดลอดออกมาจากลมหายใจของคนขับ! ชายใจดีที่รับหน้าที่อาสาไปส่งเธอ เขาหลับสนิทและไม่ยินดียินร้ายกับอุบัติเหตุครั้งสำคัญที่ผ่านไปเมื่อสักครู่[/b] หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีป่อเต็กตึ๊งมารับทั้ง 3 คนไปส่งโรงพยาบาล
[b]จุดหักเหของชีวิต : “คุณอาจจะพิการไปตลอดชีวิต” วินาทีแห่งข่าวร้าย! [/b] “พี่ทั้งสองคนที่เดินทางไปกับเราโชคดีมากที่คาดเข็มขัด เลยไม่เป็นอะไรเลย แค่ฟกช้ำเล็กๆ น้อยๆ แต่เราเป็นคนเดียวที่ไม่คาดเข็มขัด [b]เพราะด้วยความที่ตอนนั้นนั่งด้านหลัง และหยิบเข็มขัดมาคาดไม่ทัน เราจึงเป็นคนเดียวที่ได้รับข่าวร้ายจากหมอ[/b] (คุณหมึกเงียบไปสักพัก) หมอบอกกับเราว่า [b]กระดูกต้นคอกดทับเส้นประสาท ร่างกายของเราอาจทำงานได้ไม่เหมือนเดิม และกำลังจะเข้าสู่ชีวิตของคนพิการ เพราะร่างกายของเราตั้งแต่คอลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย[/b] เราไม่นึกไม่ฝันก่อนว่า อุบัติเหตุครั้งนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต แม้เวลาที่ยุงกัดหน้า เราต้องทนคันอยู่อย่างนั้น เพราะไม่สามารถยกมือขึ้นมาเกาได้ ทางออกสุดท้าย คือ สวดมนต์ ภาวนาให้หายคัน” หญิงสาวผู้โชคร้ายพูดถึงเรื่องราวของเธอด้วยน้ำเสียงสุดเศร้า
[b]หมึก พิมพ์ปวีณ์ ต้องจ้างผู้ดูแลตลอดเวลา เนื่องจากคุณแม่ของเธอแก่ชรามากแล้ว และพี่น้องคนอื่นๆ ในครอบครัวมีความจำเป็นที่จะต้องทำงาน จึงไม่มีใครที่จะคอยดูแลเธอได้ตลอดเวลา บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาที่ชีวิตของคนพิการคนหนึ่งจำต้องเผชิญ[/b] ยังถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างคนดูแล ที่ตกเดือนละ 15,000 บาท ค่าใช้จ่ายเวลาถ่ายท้องครั้งละ 40 บาท เพราะระบบขับถ่ายทุกอย่างเสียหมด จึงต้องขับถ่ายบนเตียง และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย มิหนำซ้ำ ชีวิตของเธอก็ไม่ได้โลดแล่นเหมือนเช่นคนปกติ เธอต้องนอนอยู่แต่บ้าน ไม่สามารถออกไปกินข้าวดูหนังได้ ทำกิจกรรมอื่นใดได้
“เวลาจะออกไปไหนแต่ละครั้ง ก็ดูจะเป็นภาระให้แก่คนรอบข้าง ต้องมีคนอุ้มอย่างน้อย 3 คน ยกไปยกมา อุ้มเราเหมือนศพ และสายตาของคนอื่นๆ ไม่ว่าจะคนไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่งคนรู้จักที่เคยรัก เคยสนิทสนมกันต่างก็มองเราด้วยสายตาแปลกๆ ซึ่งตอนแรกๆ ที่ไปไหนมาไหน เราอายมากๆ ทุกคนมองเราเหมือนตัวประหลาด เพียงแค่เรานั่งรถเข็น [b]ซ้ำร้ายแท็กซี่ยังไม่ค่อยรับเราอีก หลายครั้งที่เรียกแล้ว เราขึ้นไปนั่งบนรถ เก็บรถเข็นแล้ว แต่โชเฟอร์เขาก็ไล่เราลง[/b] เหมือนหมูเหมือนหมา มันทำให้เรารู้สึกรันทดจริงๆ หรือในบางครั้งที่ครอบครัวจะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน เราอยากไปใจแทบขาด แต่สุดท้ายก็ต้องกลั้นใจบอกปัดไป เพียงเพราะไม่ต้องการที่จะเป็นภาระให้ใครต่อใคร เราอยากให้เขาไปอย่างมีความสุขที่สุด” เหยื่อเมาแล้วขับ ย้อนไปถึงช่วงชีวิตสุดขมขื่น
น.ส.พิมพ์ปวีณ์ สมยานุสรณ์ พิการนั่งรถเข็นเนื่องจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์