โรคเริมป้องกันได้ แนะวิธีดูแลสุขภาพ
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า [b]โรคเริม เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังและเยื่อบุบริเวณปากและอวัยวะเพศ เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ (HSV) ซึ่งมี 2 ชนิด[/b] คือ [b]HSV-1[/b] ถ้าติดเชื้อนี้แล้วมักจะเกิดอาการโรคบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไป เกิดที่ปากเรียก Herpes labialis และ [b]HSV-2[/b] มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis [b]ไวรัสชนิดนี้มี 2 แบบ[/b] คือ การติดเชื้อครั้งแรก อาจจะรุนแรงกว่า เชื้อจะกลับไปซ่อนในปมประสาทและการเป็นซ้ำจากเชื้อที่ถูกกระตุ้นออกมาจากปมประสาท
[b]เชื้อไวรัสเริมติดต่อทางการสัมผัสโดยตรงกับผู้ได้ รับเชื้อที่มีแผลถลอกอยู่[/b] โดยเจ้าเชื้อนี้สามารถเคลื่อนผ่านรอยแตกเล็กๆ บริเวณผิวหนังหรือเยื่อบุผิวที่ชุ่มชื่นบริเวณริมฝีปาก ช่องคลอดหรือทวารหนักทำให้เชื้อเริมเข้าไปได้
สำหรับ [b]เชื้อ HSV-1 จะติดต่อทางสารหลั่งในปาก โดยมากมักพบเริมที่ริมฝีปากหรือบริเวณอวัยวะเพศ การจูบหรือดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ทำให้เชื้อเริมติดต่อได้[/b] อาการที่แสดงมักมีผื่นที่ใบหน้า แต่ก็พบได้บริเวณก้นและอวัยวะเพศได้ โดยในการติดเชื้อครั้งแรก มักเริ่มเกิดอาการ 2-24 วันหลังสัมผัสเชื้อ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ จะเกิดอาการปวดในช่องปาก มีตุ่มน้ำจำนวนมากแตกเป็นแผลตื้นๆ มักพบบริเวณเพดานปาก เหงือกหรือลิ้นหรือริมฝีปาก อาจมีอาการไข้ และต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอโตรวมอยู่ด้วย อาการเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์
[b]หลังจากนั้นเชื้อเริมจะเข้าไปฝังตัวพักอยู่ในปมประสาท เมื่อถูกการกระตุ้นที่เหมาะสม[/b] เช่น ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เครียด ไม่สบาย มีประจำเดือน จะเกิดการเป็นซ้ำจากเชื้อที่ฝังตัวออกมาที่บริเวณผิวหนัง บริเวณที่เคยมีการติดเชื้อครั้งแรก แต่อาการที่เป็นซ้ำมักไม่รุนแรง [b]บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ ริมฝีปากทั้งบนและล่างแก้มจมูกคาง[/b]
ลักษณะอาการของโรคเริม