ตอบโจทย์แต่ ‘ซ่อนเร้นนัย’การเมือง ‘ยิ่งลักษณ์5’ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
ถ้านับตั้งแต่วันได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมีอายุครบ 2 ปี แต่หากนับจากวันที่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์1” แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมปีเดียวกันก็หย่อนไปแค่ 1 เดือนเท่านั้น
ใครจะเชื่อว่าระยะเวลาประมาณ 2 ปี รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ปรับครม.ไปแล้ว 5 ครั้ง หรือเฉลี่ยแล้ว 4 เดือนครั้ง ไม่นับการปรับครม.ครั้งที่ 4 ที่ปรับเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาหลังการสูญเสีย ชุมพล ศิลปอาชา อดีตรองนายกรัฐมนตรี การปรับครม.แต่ละครั้งได้สร้างความ “ฮือฮา” อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเรียกเสียงฮือฮาได้เท่าครั้งนี้มาก่อน
ต้องยอมรับว่าครม. “ยิ่งลักษณ์ 5” หน้าตาดีกว่าทุกชุดที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะ “เงื่อนไข” ในการปรับครม.ครั้งนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องปรับครม.เพื่อ “ตอบโจทย์” ทางการเมืองซึ่งโจทย์แรกคือการเรียก “ความเชื่อมั่น” ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะหน้าตาแต่ต้องทำงานได้จริง ความเชื่อมั่นที่รัฐบาลต้องรีบเรียกคืนกลับมานั้นมาจากปัญหา “โครงการรับจำนำข้าว” เป็นเรื่องหลัก ขณะที่เรื่องรองคือ ประสิทธิภาพการทำงานในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาไฟใต้ ที่ไม่มีความชัดเจนของรัฐมนตรีที่กำกับดูแลขณะที่การผลักดันโครงการเงินกู้ น้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบทำงานด้วยปากมากเกินไป
“ความเชื่อมั่น” ที่รัฐบาลหวังจะเรียกกลับมานั้นต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่สิ่งที่เป็นความจริงทางการเมืองที่ยากจะปฏิเสธคือ การปรับครม.ครั้งนี้แฝงไว้ด้วย “นัย” ทางการเมืองอย่างแยบยลอย่างยิ่ง
การที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาเป็นระยะ ๆ ว่าจะ “ควบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแต่จนแล้วจนรอดก็หาจังหวะงาม ๆ ทางการเมืองไม่ได้ จากนั้นก็ปรากฏข่าวการปรับเปลี่ยนผู้นำในกองทัพบกอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่มีข่าวว่าจะขยับไปนั่งผบ.ทหารสูงสุดแล้วโยกผบ.ทหารสูงสุด มานั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมที่จะเกษียณราชการในวันที่ 30 กันยายนที่จะถึงนี้
ข่าวนี้จริงหรือไม่ไม่รู้ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ไว้เป็นเชิงคำถามว่า เป็นผบ.ทหารสูงสุดนั้นไม่ดีตรงไหน
อย่างที่รู้กันกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพนั้นมีพ.ร.บ.การจัดระเบียบ ราชการกระทรวงกลาโหมกำกับอยู่ หากจะเข้าไปเป็น “เสียงข้างมาก” ในยามนี้จำเป็นต้องมีรัฐมนตรีช่วยว่าการซึ่งการปรับครม.ก็มีเกิดขึ้นนั่นคือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ซึ่งเคยเป็นอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรมว.กลาโหม
เป็นการ “รุกคืบ” เข้าสู่กองทัพของฝ่ายการเมือง ในท่ามกลางสถานการณ์ที่การเคลื่อนไหวมวลชนคึกคักอย่างยิ่ง เป็นการเปลี่ยนภาวะวิกฤติทางการเมืองให้กลายเป็นโอกาสได้ “ถูกที่ถูกจังหวะถูกเวลา” อย่างยิ่ง
ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องที่ห้ามมองข้าม การเปลี่ยนมือจาก บุญทรง เตริยาภิรมย์ มาเป็น นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล น่าจะตอบโจทย์ในแง่ของการประชาสัมพันธ์สื่อสาร แต่ในแง่ของการ “รู้งาน” ถูกชดเชยด้วยการมาของ ยรรยง พวงราช อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ แต่ยังไงหัวใจหลักอย่างกระทรวงพาณิชย์ก็ยังอยู่ในความดูแลของ “ตระกูลชิน” เช่นเดิม ขณะที่กระทรวงการคลังแม้จะไม่มีการปรับเปลี่ยน แต่การปรับฝ่ายการเมืองแล้วนำข้าราชการอย่าง เบญจา หลุยเจริญ อดีตอธิบดีกรมศุลกากร เขามาทำหน้าที่รมช.คลังก็ช่วยให้ภาพการเมืองกับข้าราชการดีขึ้นกว่าที่ผ่าน มาเพราะไม่ใช่เป็นการใช้การเมืองโดยฝ่ายการเมืองแต่ใช้การเมืองโดยข้าราชการ ประจำ
หน้าตาที่ดูจะเข้าท่าเข้าทีก็คือการมาของ จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยในตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ ตำแหน่งนี้ จาตุรนต์เคยเข้ามาทำหน้าที่แล้ว ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า “บทบาท” ในช่วงเว้นวรรคการเมือง 5 ปี วนเวียนอยู่กับการต่อต้านการรัฐประหารและผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งความจริงควรจะมีบทบาทที่เข้มข้นกว่านี้ แต่ที่จำเป็นต้องดึงเข้าร่วมรัฐบาลเพราะทนกระแสสังคมไม่ไหวและต้องการใช้ ภาพนักการเมืองน้ำดี เพื่อกู้ภาพการเมือง “ขาลง” ซะมากกว่า
การตอบแทนทางการเมือง ดูจะเป็นอีกประเด็นที่เป็นลักษณะ “น้ำนิ่งไหลลึก” ที่ผ่านมารัฐมนตรีประเภทเก้าอี้ดนตรี คนนี้มาคนนั้นไป ผู้ที่ถูกปรับออกมักจะยอมรับสภาพ ครั้งนี้ก็เป็นเช่นนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯที่จะมาทำหน้าที่รมว.แรงงาน มองยังไงก็เป็นการ “ลดชั้น” ทั้ง ๆ ที่ร.ต.อ.เฉลิม มีบทบาทเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในการพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านด้วยการผลักดันร่างพ.ร.บ.ปรองดองและทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์นายก รัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือในกรณีของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรมว.กลาโหมผู้ประกาศ “ลุยไฟ” เดินหน้าถอดยศ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและอดีตนายกรัฐมนตรี แม้จะได้เสียง “ปรบมือ” จากที่ประชุมพรรคเพื่อไทย แต่ผลที่ได้รับกลับมากลับถูกทิ้งแบบไม่มีที่ยืนในพรรค หรือในกรณีของ เผดิมชัย สะสมทรัพย์ แกนนำภาคกลางที่ร่วมหัวจมท้ายมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ที่ถูกปรับออกท่ามกลางข้อหาที่ว่า ดูแลภาคกลางแต่ไม่ยอมช่วยชี้แจงกับชาวนาในพื้นที่
ยิ่งในรายของ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่แม้จะมีภาพลบในทางสังคม แต่ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็ “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” คืออะไรที่ได้ก็เอา อะไรที่เสียไม่เอา
จตุพร ได้ชื่อว่าเป็น “นักรบ” แต่กลับไม่ได้รับโอกาสเข้ามาร่วมบริหารอำนาจ ขณะที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ กลับได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เรื่อยมา
นอกจากนี้ ส.ส.อีสานส่วนใหญ่เริ่มเห็นแล้วว่า การเข้าไปเป็นรัฐมนตรีเป็นแค่การตอบแทนทางการเมืองในช่วงสั้น ๆ ขณะที่คนส่วนหนึ่งซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งแต่เป็น “คนวงใน” ของผู้มีอำนาจกลับมีโอกาสในทางการบริหารมากกว่า
อีกจุดที่แม้จะรู้กันไม่ควรมองข้ามคือ การเข้ามาทำหน้าที่รมว.ยุติธรรมของ ชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด ซึ่งว่ากันว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังหนีคดีอยู่นอกประเทศ
“ภาพหนึ่ง” คือความพยายามกู้วิกฤติของรัฐบาล แต่อีกภาพหนึ่งที่ทับซ้อนอยู่คือการใช้จังหวะให้เป็นประโยชน์รุกคืบกองทัพ และกระชับอำนาจในพรรคเพื่อไทย
ดูยังไงก็ต้อง 2 ปีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นเป็นประเภท ’อ่อนนอกแต่แข็งใน”.
ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/politics/215425 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถ้านับตั้งแต่วันได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมีอายุครบ 2 ปี แต่หากนับจากวันที่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์1” แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมปีเดียวกันก็หย่อนไปแค่ 1 เดือนเท่านั้น ใครจะเชื่อว่าระยะเวลาประมาณ 2 ปี รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ปรับครม.ไปแล้ว 5 ครั้ง หรือเฉลี่ยแล้ว 4 เดือนครั้ง ไม่นับการปรับครม.ครั้งที่ 4 ที่ปรับเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาหลังการสูญเสีย ชุมพล ศิลปอาชา อดีตรองนายกรัฐมนตรี การปรับครม.แต่ละครั้งได้สร้างความ “ฮือฮา” อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเรียกเสียงฮือฮาได้เท่าครั้งนี้มาก่อน ต้องยอมรับว่าครม. “ยิ่งลักษณ์ 5” หน้าตาดีกว่าทุกชุดที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะ “เงื่อนไข” ในการปรับครม.ครั้งนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องปรับครม.เพื่อ “ตอบโจทย์” ทางการเมืองซึ่งโจทย์แรกคือการเรียก “ความเชื่อมั่น” ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะหน้าตาแต่ต้องทำงานได้จริง ความเชื่อมั่นที่รัฐบาลต้องรีบเรียกคืนกลับมานั้นมาจากปัญหา “โครงการรับจำนำข้าว” เป็นเรื่องหลัก ขณะที่เรื่องรองคือ ประสิทธิภาพการทำงานในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาไฟใต้ ที่ไม่มีความชัดเจนของรัฐมนตรีที่กำกับดูแลขณะที่การผลักดันโครงการเงินกู้ น้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบทำงานด้วยปากมากเกินไป “ความเชื่อมั่น” ที่รัฐบาลหวังจะเรียกกลับมานั้นต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่สิ่งที่เป็นความจริงทางการเมืองที่ยากจะปฏิเสธคือ การปรับครม.ครั้งนี้แฝงไว้ด้วย “นัย” ทางการเมืองอย่างแยบยลอย่างยิ่ง การที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาเป็นระยะ ๆ ว่าจะ “ควบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแต่จนแล้วจนรอดก็หาจังหวะงาม ๆ ทางการเมืองไม่ได้ จากนั้นก็ปรากฏข่าวการปรับเปลี่ยนผู้นำในกองทัพบกอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่มีข่าวว่าจะขยับไปนั่งผบ.ทหารสูงสุดแล้วโยกผบ.ทหารสูงสุด มานั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมที่จะเกษียณราชการในวันที่ 30 กันยายนที่จะถึงนี้ ข่าวนี้จริงหรือไม่ไม่รู้ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ไว้เป็นเชิงคำถามว่า เป็นผบ.ทหารสูงสุดนั้นไม่ดีตรงไหน อย่างที่รู้กันกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพนั้นมีพ.ร.บ.การจัดระเบียบ ราชการกระทรวงกลาโหมกำกับอยู่ หากจะเข้าไปเป็น “เสียงข้างมาก” ในยามนี้จำเป็นต้องมีรัฐมนตรีช่วยว่าการซึ่งการปรับครม.ก็มีเกิดขึ้นนั่นคือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ซึ่งเคยเป็นอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรมว.กลาโหม เป็นการ “รุกคืบ” เข้าสู่กองทัพของฝ่ายการเมือง ในท่ามกลางสถานการณ์ที่การเคลื่อนไหวมวลชนคึกคักอย่างยิ่ง เป็นการเปลี่ยนภาวะวิกฤติทางการเมืองให้กลายเป็นโอกาสได้ “ถูกที่ถูกจังหวะถูกเวลา” อย่างยิ่ง ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องที่ห้ามมองข้าม การเปลี่ยนมือจาก บุญทรง เตริยาภิรมย์ มาเป็น นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล น่าจะตอบโจทย์ในแง่ของการประชาสัมพันธ์สื่อสาร แต่ในแง่ของการ “รู้งาน” ถูกชดเชยด้วยการมาของ ยรรยง พวงราช อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ แต่ยังไงหัวใจหลักอย่างกระทรวงพาณิชย์ก็ยังอยู่ในความดูแลของ “ตระกูลชิน” เช่นเดิม ขณะที่กระทรวงการคลังแม้จะไม่มีการปรับเปลี่ยน แต่การปรับฝ่ายการเมืองแล้วนำข้าราชการอย่าง เบญจา หลุยเจริญ อดีตอธิบดีกรมศุลกากร เขามาทำหน้าที่รมช.คลังก็ช่วยให้ภาพการเมืองกับข้าราชการดีขึ้นกว่าที่ผ่าน มาเพราะไม่ใช่เป็นการใช้การเมืองโดยฝ่ายการเมืองแต่ใช้การเมืองโดยข้าราชการ ประจำ หน้าตาที่ดูจะเข้าท่าเข้าทีก็คือการมาของ จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยในตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ ตำแหน่งนี้ จาตุรนต์เคยเข้ามาทำหน้าที่แล้ว ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า “บทบาท” ในช่วงเว้นวรรคการเมือง 5 ปี วนเวียนอยู่กับการต่อต้านการรัฐประหารและผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งความจริงควรจะมีบทบาทที่เข้มข้นกว่านี้ แต่ที่จำเป็นต้องดึงเข้าร่วมรัฐบาลเพราะทนกระแสสังคมไม่ไหวและต้องการใช้ ภาพนักการเมืองน้ำดี เพื่อกู้ภาพการเมือง “ขาลง” ซะมากกว่า การตอบแทนทางการเมือง ดูจะเป็นอีกประเด็นที่เป็นลักษณะ “น้ำนิ่งไหลลึก” ที่ผ่านมารัฐมนตรีประเภทเก้าอี้ดนตรี คนนี้มาคนนั้นไป ผู้ที่ถูกปรับออกมักจะยอมรับสภาพ ครั้งนี้ก็เป็นเช่นนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯที่จะมาทำหน้าที่รมว.แรงงาน มองยังไงก็เป็นการ “ลดชั้น” ทั้ง ๆ ที่ร.ต.อ.เฉลิม มีบทบาทเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในการพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านด้วยการผลักดันร่างพ.ร.บ.ปรองดองและทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์นายก รัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือในกรณีของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรมว.กลาโหมผู้ประกาศ “ลุยไฟ” เดินหน้าถอดยศ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและอดีตนายกรัฐมนตรี แม้จะได้เสียง “ปรบมือ” จากที่ประชุมพรรคเพื่อไทย แต่ผลที่ได้รับกลับมากลับถูกทิ้งแบบไม่มีที่ยืนในพรรค หรือในกรณีของ เผดิมชัย สะสมทรัพย์ แกนนำภาคกลางที่ร่วมหัวจมท้ายมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ที่ถูกปรับออกท่ามกลางข้อหาที่ว่า ดูแลภาคกลางแต่ไม่ยอมช่วยชี้แจงกับชาวนาในพื้นที่ ยิ่งในรายของ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่แม้จะมีภาพลบในทางสังคม แต่ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็ “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” คืออะไรที่ได้ก็เอา อะไรที่เสียไม่เอา จตุพร ได้ชื่อว่าเป็น “นักรบ” แต่กลับไม่ได้รับโอกาสเข้ามาร่วมบริหารอำนาจ ขณะที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ กลับได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เรื่อยมา นอกจากนี้ ส.ส.อีสานส่วนใหญ่เริ่มเห็นแล้วว่า การเข้าไปเป็นรัฐมนตรีเป็นแค่การตอบแทนทางการเมืองในช่วงสั้น ๆ ขณะที่คนส่วนหนึ่งซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งแต่เป็น “คนวงใน” ของผู้มีอำนาจกลับมีโอกาสในทางการบริหารมากกว่า อีกจุดที่แม้จะรู้กันไม่ควรมองข้ามคือ การเข้ามาทำหน้าที่รมว.ยุติธรรมของ ชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด ซึ่งว่ากันว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังหนีคดีอยู่นอกประเทศ “ภาพหนึ่ง” คือความพยายามกู้วิกฤติของรัฐบาล แต่อีกภาพหนึ่งที่ทับซ้อนอยู่คือการใช้จังหวะให้เป็นประโยชน์รุกคืบกองทัพ และกระชับอำนาจในพรรคเพื่อไทย ดูยังไงก็ต้อง 2 ปีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นเป็นประเภท ’อ่อนนอกแต่แข็งใน”. ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/politics/215425
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)