การแข่งขันทางการเมือง
ถือเป็นมิติใหม่ทางการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อฝ่ายบริหารคือรัฐบาล ถูกฝ่ายนิติบัญญัติประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ โดยนายกรัฐมนตรีเหงียน ทัน ดุง รวมทั้ง คณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 45 คน ถูกสมาชิกรัฐสภาลงมติไว้วางใจ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา
การลงคะแนนลับในรัฐสภากรุงฮานอย สมาชิกรัฐสภา 498 ที่นั่ง ที่ถูกมองว่าเป็น “สภาตรายาง” หย่อนบัตรแสดงความคิดเห็น 3 ทางเลือกคือ 1. ไว้ใจในระดับสูง 2. ไว้วางใจ และ 3. ไว้วางใจในระดับต่ำ
ดุงวัย 63 ปี ได้คะแนน “ไว้วางใจในระดับสูง” 67% และ “ไว้วางใจในระดับต่ำ” 32% ส่วนนี้คิดเป็นจำนวน ส.ส. 160 คน แม้จะผ่านการโหวต แต่คะแนนไว้วางใจระดับต่ำต่อดุงอยู่อันดับ 3 โดยคนที่ได้น้อยสุดคือ นายเหงียน วัน บินห์ ผู้ว่าการธนาคารกลาง ที่ 42%
ส่วน ประธานาธิบดีเจือง เติ่น ซาง แกนนำกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้างกับดุง คะแนนไว้วางใจระดับต่ำอยู่ที่ 28% ดีกว่าดุงไม่เท่าไหร่ แต่คะแนนไว้วางใจระดับสูงของซางสูงถึง 66% อยู่ที่ 3 ขณะที่ดุงอยู่อันดับ 25
คนที่ได้คะแนน “ไว้วางใจระดับต่ำ” มากกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด หรือได้คะแนนเสียงไว้วางใจในระดับต่ำ 2 ครั้งติดต่อกัน จากสมาชิกรัฐสภามากกว่าครึ่ง จะนำไปสู่การลงมติ “ไม่ไว้วางใจ” ตามด้วยการถอดถอนออกจากตำแหน่ง
เสียงเรียกร้องให้มีการลงมติไว้วางใจดุงในรัฐสภา เริ่มดังขึ้นในช่วงปลายปี 2553 หลังเกิดเรื่อง บริษัทเวียดนาม ชิปบิลดิ้ง อินดัสตรี กรุ๊ป หรือ วินาชิน บริษัทต่อเรือของรัฐบาล ที่ดุงควบคุมดูแลและป่าวประกาศเป็นโครงการดาวเด่น แต่สุดท้ายเกือบล้มละลาย และมีหนี้สินถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับดุงในรัฐสภา โดยเฉพาะมุ้งของประธานาธิบดีซาง เริ่มเดินเกมให้มีการลงมติไว้วางใจรัฐบาลเป็นรายปี นัยว่าเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มความน่าเชื่อถือต่อรัฐบาล
พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเผชิญแรงกดดัน ถูกโจมตีหนักว่าไม่พยายามปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศเติบโตช้าสุดในรอบ 13 ปีเมื่อปี 2555 และช่วงต้นปีนี้ กลุ่มการเมืองนำโดยอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายคน ได้นำเสนอร่างรัฐธรรมนูญทางเลือก มีเนื้อหาเรียกร้องให้มีการแข่งขันทางการเมือง (political competition)
ศึกการเมืองภายในยกแรก โดยผ่านการลงมติไว้วางใจ แม้ว่าซางจะชนะดุงโดยวัดจากคะแนนที่ได้ และทั้งคู่ถูก “ตำหนิอย่างรุนแรง” ต่อความล้มเหลวในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศ แต่สมาชิก รัฐสภาก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดวิกฤติทางการเมือง ปล่อยให้ทั้งสองทำหน้าที่ต่อไป
ทางด้านปฏิกิริยาของชาวเวียดนาม ที่มีต่อการลงมติไว้วางใจรัฐบาล จากการสำรวจโดยสำนักโพล อาร์เอฟเอ พบว่า คนจำนวนมากมองว่า เป็นละครแหกตาประชาชน มีเป้าหมายเพื่อกลบเกลื่อนความอ่อนแอ และเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นอกจากนั้นยังทำให้ประชาชนได้เห็นถึงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันภายในรัฐบาล อย่างชัดเจนด้วย
แต่ นายเหงียน เซิ่น ฮุง ประธานรัฐสภา กล่าวชื่นชมการลงมติไว้วางใจว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศในทุกด้านอย่างชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม นโยบายต่างประเทศ กลาโหม ความมั่นคง หรือด้านยุติธรรม
ส่วน คาร์ล เธเยอร์ ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิทยาลัยกองทัพบกออสเตรเลีย มองว่า การลงมติของรัฐสภาเวียดนาม ไม่เกี่ยวกับการปฏิรูปการเมือง แต่เป็นจุดเริ่มต้นการปรับโครงสร้างพรรคคอมมิวนิสต์ ก่อนถึงการประชุมใหญ่พรรคระดับชาติในปี 2559 ซึ่งวาระสำคัญอยู่ที่การถ่ายโอนอำนาจไปสู่ผู้นำประเทศชุดใหม่. เลนซ์ซูม
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
คอลัมน์สังคมโลก ถือเป็นมิติใหม่ทางการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อฝ่ายบริหารคือรัฐบาล ถูกฝ่ายนิติบัญญัติประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ โดยนายกรัฐมนตรีเหงียน ทัน ดุง รวมทั้ง คณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 45 คน ถูกสมาชิกรัฐสภาลงมติไว้วางใจ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา การลงคะแนนลับในรัฐสภากรุงฮานอย สมาชิกรัฐสภา 498 ที่นั่ง ที่ถูกมองว่าเป็น “สภาตรายาง” หย่อนบัตรแสดงความคิดเห็น 3 ทางเลือกคือ 1. ไว้ใจในระดับสูง 2. ไว้วางใจ และ 3. ไว้วางใจในระดับต่ำ ดุงวัย 63 ปี ได้คะแนน “ไว้วางใจในระดับสูง” 67% และ “ไว้วางใจในระดับต่ำ” 32% ส่วนนี้คิดเป็นจำนวน ส.ส. 160 คน แม้จะผ่านการโหวต แต่คะแนนไว้วางใจระดับต่ำต่อดุงอยู่อันดับ 3 โดยคนที่ได้น้อยสุดคือ นายเหงียน วัน บินห์ ผู้ว่าการธนาคารกลาง ที่ 42% ส่วน ประธานาธิบดีเจือง เติ่น ซาง แกนนำกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้างกับดุง คะแนนไว้วางใจระดับต่ำอยู่ที่ 28% ดีกว่าดุงไม่เท่าไหร่ แต่คะแนนไว้วางใจระดับสูงของซางสูงถึง 66% อยู่ที่ 3 ขณะที่ดุงอยู่อันดับ 25 คนที่ได้คะแนน “ไว้วางใจระดับต่ำ” มากกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด หรือได้คะแนนเสียงไว้วางใจในระดับต่ำ 2 ครั้งติดต่อกัน จากสมาชิกรัฐสภามากกว่าครึ่ง จะนำไปสู่การลงมติ “ไม่ไว้วางใจ” ตามด้วยการถอดถอนออกจากตำแหน่ง เสียงเรียกร้องให้มีการลงมติไว้วางใจดุงในรัฐสภา เริ่มดังขึ้นในช่วงปลายปี 2553 หลังเกิดเรื่อง บริษัทเวียดนาม ชิปบิลดิ้ง อินดัสตรี กรุ๊ป หรือ วินาชิน บริษัทต่อเรือของรัฐบาล ที่ดุงควบคุมดูแลและป่าวประกาศเป็นโครงการดาวเด่น แต่สุดท้ายเกือบล้มละลาย และมีหนี้สินถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับดุงในรัฐสภา โดยเฉพาะมุ้งของประธานาธิบดีซาง เริ่มเดินเกมให้มีการลงมติไว้วางใจรัฐบาลเป็นรายปี นัยว่าเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มความน่าเชื่อถือต่อรัฐบาล พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเผชิญแรงกดดัน ถูกโจมตีหนักว่าไม่พยายามปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศเติบโตช้าสุดในรอบ 13 ปีเมื่อปี 2555 และช่วงต้นปีนี้ กลุ่มการเมืองนำโดยอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายคน ได้นำเสนอร่างรัฐธรรมนูญทางเลือก มีเนื้อหาเรียกร้องให้มีการแข่งขันทางการเมือง (political competition) ศึกการเมืองภายในยกแรก โดยผ่านการลงมติไว้วางใจ แม้ว่าซางจะชนะดุงโดยวัดจากคะแนนที่ได้ และทั้งคู่ถูก “ตำหนิอย่างรุนแรง” ต่อความล้มเหลวในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศ แต่สมาชิก รัฐสภาก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดวิกฤติทางการเมือง ปล่อยให้ทั้งสองทำหน้าที่ต่อไป ทางด้านปฏิกิริยาของชาวเวียดนาม ที่มีต่อการลงมติไว้วางใจรัฐบาล จากการสำรวจโดยสำนักโพล อาร์เอฟเอ พบว่า คนจำนวนมากมองว่า เป็นละครแหกตาประชาชน มีเป้าหมายเพื่อกลบเกลื่อนความอ่อนแอ และเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นอกจากนั้นยังทำให้ประชาชนได้เห็นถึงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันภายในรัฐบาล อย่างชัดเจนด้วย แต่ นายเหงียน เซิ่น ฮุง ประธานรัฐสภา กล่าวชื่นชมการลงมติไว้วางใจว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศในทุกด้านอย่างชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม นโยบายต่างประเทศ กลาโหม ความมั่นคง หรือด้านยุติธรรม ส่วน คาร์ล เธเยอร์ ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิทยาลัยกองทัพบกออสเตรเลีย มองว่า การลงมติของรัฐสภาเวียดนาม ไม่เกี่ยวกับการปฏิรูปการเมือง แต่เป็นจุดเริ่มต้นการปรับโครงสร้างพรรคคอมมิวนิสต์ ก่อนถึงการประชุมใหญ่พรรคระดับชาติในปี 2559 ซึ่งวาระสำคัญอยู่ที่การถ่ายโอนอำนาจไปสู่ผู้นำประเทศชุดใหม่. เลนซ์ซูม ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/article/80/212824
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)