ส่อง ‘ปรอทการเมือง’ ก่อนถึงวันเปิดสภา มวลชนเผชิญหน้าสถานการณ์ 'ร้อนแรง'
เหลือระยะเวลาราว ๆ 1 เดือนครึ่ง หรือประมาณ 6 สัปดาห์ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไปจะเริ่ม “เปิดฉาก” ขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม สำหรับในทางการเมืองระยะเวลาเพียงแค่นี้ถือว่า “สั้นมาก”
จากที่คาดการณ์ว่า สถานการณ์ช่วง “ปิดสมัย” ประชุมสภา บรรยากาศคงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีระเบิดเวลามากวนใจให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องตามแก้และใช้เวลาทั้งหมดไป สร้างความเข้าใจมวลชนเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการเปิดสภา ซึ่งมีเรื่องสำคัญทางการเมืองรออยู่
ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและร่างพ.ร.บ.ปรองดอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 มาตรา 3 ร่าง การออกพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนเป็น “ความเป็นความตาย” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น
หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าลำพังแค่ 3 เรื่องร้อนก็ทำให้สถานการณ์การเมืองหวาดเสียวพอจนพากันคิดไปไกลว่าจะเกิด “อุบัติเหตุ” ทางการเมืองอะไรขึ้นมาหรือไม่ เพราะพรรคเพื่อไทยประกาศไว้แล้วว่างานนี้ “ถอย” ไปไม่ได้อีกแล้ว
แต่ใช่ว่าสถานการณ์จะคงอยู่และรอเวลาเผชิญ แต่สถานการณ์อื่น ซึ่งหากมองกันลึก ๆ ก็จะพบว่าล้วนดำเนินไปเพื่อรอวันเปิดสภาทั้งสิ้น ประเดประดังถาโถมเข้าใส่รัฐบาลจนเกิดอาการสั่นสะเทือนชนิดไม่เคยมีมาก่อนนับ ตั้งแต่เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 หรือในช่วง 1 ปีกับอีก 11 เดือน โดยเฉพาะ “ผลงาน” ของรัฐบาลในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหา ทั้งในแง่ผลสำเร็จของโครงการ ซึ่งในที่นี้วัดกันที่ตัวเลข “ขาดทุน” ของโครงการ เรื่อยไปจนถึงกระแสข่าวการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชา ธิปัตย์ที่นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ตรวจสอบชนิด “กัดไม่ปล่อย” ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และ กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ก็ตั้งข้อสังเกตถึงผลกระทบในภาพใหญ่ของระบบเศรษฐกิจของประเทศ
โครงการรับจำนำข้าวที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในขณะนี้ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงตัวเลขที่ถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่มีความชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เป็นโครงการที่ริเริ่มมาเองกับมือ ใครจะเชื่อว่าตัวเลขของ 2 หน่วยงานระหว่างกระทรวงการคลังที่มี กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลกับกระทรวงพาณิชย์ที่มี บุญทรง เตริยาภิรมย์ ควบคุมดูแล “ไม่ตรงกัน” ทั้ง ๆ ที่เป็นรัฐมนตรีจากพรรคเดียวกัน แถมยังเป็น “ทีมเศรษฐกิจ” ร่วมกันอีกด้วย
การดึง วราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนักการเมืองหลายพรรษาเข้ามารับผิดชอบเพื่อหวังจะสื่อสารทำความเข้า ใจกับสังคมจึงเป็น “สัญญาณ” สะท้อนให้เห็นว่า การทำงานของรัฐบาลกำลังมีปัญหา หลังจากถูกตั้งคำถามในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมาว่า ไม่น่าจะเป็นการใช้คนให้ถูกกับงาน แต่เป็นการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีตามโควตาของกลุ่มการเมือง
การที่ กิตติรัตน์ ออกมาแบะท่าว่า มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะปรับเปลี่ยน “เงื่อนไข” ในการรับจำนำข้าวใหม่ เนื่องจากราคาที่กำหนดไว้ตันละ 1.5 หมื่นบาท มีความเหมาะสมกับช่วงที่ผ่านมา แต่ไม่เหมาะกับภาวะในปัจจุบัน ถึงขนาดเปรียบเทียบว่า “อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังปรับเปลี่ยนได้ ราคารับจำนำทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้ โดยการตัดสินใจขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช.”
ถือเป็นการถอยหลังรัฐบาลกำลังจะ “จำนน” ทางตัวเลขการ “ขาดทุน” อย่างชนิดมโหฬาร
อีกเรื่องที่สร้างคำถามเรื่องคุณธรรมจริยธรรมขึ้นกับรัฐบาลที่ประกาศว่ามา เพื่อแก้ไข ไม่ใช่มาเพื่อแก้แค้น นั่นคือ การคืนเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือสมช.ให้กับ ถวิล เปลี่ยนศรี หลังศาลปกครองมีคำสั่งว่า การย้ายที่รัฐบาลทำไปก่อนหน้านี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ยังไม่ชัดเจนว่า จะมีการอุทธรณ์ในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ แต่หากดูตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายก็จะพบว่าโอกาสที่จะไม่เป็นไปตามที่ศาล ได้มีคำสั่งไว้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องยากซะเหลือเกิน ประเด็นคืนเก้าอี้เลขาธิการสมช.นี้ พุ่งเป้าไปที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโดยตรง
นอกจากนี้ยังปรากฏความเคลื่อนไหวของ “มวลชน” ซึ่งกำลังแพร่กระจายกลายเป็นกระแส “ต่อต้าน” รัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏการณ์ “หน้ากากขาว” และความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกว่า “ไทยสปริง” คือการรวมตัวเพื่อกดดันรัฐบาลให้เดินหน้าทำงานมากกว่าจะมัวแต่หาช่องทางและ จังหวะทางการเมืองเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง
ปรากฏการณ์ “หน้ากากขาว” และ “ไทยสปริง” ไม่ได้มีเป้าหมายที่การไล่รัฐบาลแต่มีเป้าหมายที่การ “ต่อต้านระบอบทักษิณ” ซึ่งเป็นภาพที่ใหญ่กว่า ขณะที่ภาพของรัฐบาลนั้นถูกมองว่าเป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ของระบอบทักษิณเท่านั้น
เหรียญนั้นมี 2 ด้าน เมื่อด้านหนึ่งเคลื่อนไหว อีกด้านซึ่งหล่อเลี้ยงมวลชนเพื่อปกป้องรัฐบาลพร้อมกับสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมก็เริ่มเคลื่อนไหว ขณะที่ฝ่ายหนึ่งเคลื่อนไหวตามกรอบกติกาของกฎหมาย แต่อีกฝ่ายซึ่งเรียกตัวเองว่าผู้รักประชาธิปไตย กลับแสดงออกทางการเมืองในลักษณะที่เกินกว่าคำว่าประชาธิปไตย การไปเคลื่อนไหวต่อต้านเวทีทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ที่จ.ลำพูน น่าจะเป็นสัญญาณให้เห็นว่า ฝ่ายมวลชนทางการเมืองนั้นพร้อมจะเผชิญหน้ากันได้ทุกขณะ ยิ่งการทำร้ายกันที่จ.เชียงใหม่ ยิ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่า ความแตกแยกกำลังจะกลับมา
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งวันนี้สถานะหนึ่งคือยืนอยู่อีกฝ่าย แต่อีกสถานะคือเป็นรัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่มจะต้องจัดการและ แก้ไขเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปกว่านี้
เพราะแค่เริ่มเคลื่อนไหวยังเผชิญหน้ากันขนาดนี้ หากสถานการณ์ไปถึงจุดที่จะต้อง “แตกหัก” จริง ๆ สถานการณ์จะรุนแรงกว่านี้หลายเท่าตัว
ผลของการเคลื่อนไหวและประเด็นที่ร้อนแรงก่อนเปิดสภา กำลังจะถูก “ทดสอบ” ผ่านการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 12 ดอนเมือง เพราะ “ผลการเลือกตั้ง” จะเป็นเครื่องมือวัดอารมณ์ทางการเมืองได้ระดับหนึ่งว่า อยากจะเห็นสถานการณ์การเมืองเดินหน้าไปทางใด
ถ้าเลือกรัฐบาลก็แน่นอนว่า 3 เรื่องร้อนนั้น เดินหน้าต่อแน่ แต่หากเลือกฝ่ายค้าน โอกาสของการชะงักงันก็น่าจะมีขึ้นไม่มากก็น้อย
สถานการณ์ที่เคลื่อนไหวกันอยู่ทั้ง 2 ฝ่ายในช่วงเวลานี้และเรื่อยไปจนถึงวันเปิดสภา จึงเป็นการโหมโรงก่อนที่จะมีการ “สัปะยุทธ์” กันเกิดขึ้น
พรรคการเมือง มวลชน อำนาจ ฝ่ายหนึ่งมีพร้อมอยู่แล้ว ขณะที่อีกฝ่าย จากที่มีแต่พรรคการเมืองก็เริ่มมี “มวลชน” ปรากฏตัวขึ้นแม้จะเป็นในลักษณะ “มุมกลับ” ก็ตาม
ถ้าสถานการณ์ยังเดินไปอย่างนี้ ที่ใครต่อใครสวมวิญญาณโหร “ฟันธง” ไว้ว่า ปลายปีนี้ได้ “เห็นหน้าเห็นหลัง” กันแน่นั้น มีโอกาสจะเกิดขึ้นอย่างสูงยิ่ง.
ขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/politics/212115 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เหลือระยะเวลาราว ๆ 1 เดือนครึ่ง หรือประมาณ 6 สัปดาห์ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไปจะเริ่ม “เปิดฉาก” ขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม สำหรับในทางการเมืองระยะเวลาเพียงแค่นี้ถือว่า “สั้นมาก” จากที่คาดการณ์ว่า สถานการณ์ช่วง “ปิดสมัย” ประชุมสภา บรรยากาศคงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีระเบิดเวลามากวนใจให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องตามแก้และใช้เวลาทั้งหมดไป สร้างความเข้าใจมวลชนเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการเปิดสภา ซึ่งมีเรื่องสำคัญทางการเมืองรออยู่ ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและร่างพ.ร.บ.ปรองดอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 มาตรา 3 ร่าง การออกพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนเป็น “ความเป็นความตาย” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าลำพังแค่ 3 เรื่องร้อนก็ทำให้สถานการณ์การเมืองหวาดเสียวพอจนพากันคิดไปไกลว่าจะเกิด “อุบัติเหตุ” ทางการเมืองอะไรขึ้นมาหรือไม่ เพราะพรรคเพื่อไทยประกาศไว้แล้วว่างานนี้ “ถอย” ไปไม่ได้อีกแล้ว แต่ใช่ว่าสถานการณ์จะคงอยู่และรอเวลาเผชิญ แต่สถานการณ์อื่น ซึ่งหากมองกันลึก ๆ ก็จะพบว่าล้วนดำเนินไปเพื่อรอวันเปิดสภาทั้งสิ้น ประเดประดังถาโถมเข้าใส่รัฐบาลจนเกิดอาการสั่นสะเทือนชนิดไม่เคยมีมาก่อนนับ ตั้งแต่เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 หรือในช่วง 1 ปีกับอีก 11 เดือน โดยเฉพาะ “ผลงาน” ของรัฐบาลในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหา ทั้งในแง่ผลสำเร็จของโครงการ ซึ่งในที่นี้วัดกันที่ตัวเลข “ขาดทุน” ของโครงการ เรื่อยไปจนถึงกระแสข่าวการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชา ธิปัตย์ที่นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ตรวจสอบชนิด “กัดไม่ปล่อย” ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และ กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ก็ตั้งข้อสังเกตถึงผลกระทบในภาพใหญ่ของระบบเศรษฐกิจของประเทศ โครงการรับจำนำข้าวที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในขณะนี้ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงตัวเลขที่ถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่มีความชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เป็นโครงการที่ริเริ่มมาเองกับมือ ใครจะเชื่อว่าตัวเลขของ 2 หน่วยงานระหว่างกระทรวงการคลังที่มี กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลกับกระทรวงพาณิชย์ที่มี บุญทรง เตริยาภิรมย์ ควบคุมดูแล “ไม่ตรงกัน” ทั้ง ๆ ที่เป็นรัฐมนตรีจากพรรคเดียวกัน แถมยังเป็น “ทีมเศรษฐกิจ” ร่วมกันอีกด้วย การดึง วราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนักการเมืองหลายพรรษาเข้ามารับผิดชอบเพื่อหวังจะสื่อสารทำความเข้า ใจกับสังคมจึงเป็น “สัญญาณ” สะท้อนให้เห็นว่า การทำงานของรัฐบาลกำลังมีปัญหา หลังจากถูกตั้งคำถามในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมาว่า ไม่น่าจะเป็นการใช้คนให้ถูกกับงาน แต่เป็นการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีตามโควตาของกลุ่มการเมือง การที่ กิตติรัตน์ ออกมาแบะท่าว่า มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะปรับเปลี่ยน “เงื่อนไข” ในการรับจำนำข้าวใหม่ เนื่องจากราคาที่กำหนดไว้ตันละ 1.5 หมื่นบาท มีความเหมาะสมกับช่วงที่ผ่านมา แต่ไม่เหมาะกับภาวะในปัจจุบัน ถึงขนาดเปรียบเทียบว่า “อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังปรับเปลี่ยนได้ ราคารับจำนำทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้ โดยการตัดสินใจขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช.” ถือเป็นการถอยหลังรัฐบาลกำลังจะ “จำนน” ทางตัวเลขการ “ขาดทุน” อย่างชนิดมโหฬาร อีกเรื่องที่สร้างคำถามเรื่องคุณธรรมจริยธรรมขึ้นกับรัฐบาลที่ประกาศว่ามา เพื่อแก้ไข ไม่ใช่มาเพื่อแก้แค้น นั่นคือ การคืนเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือสมช.ให้กับ ถวิล เปลี่ยนศรี หลังศาลปกครองมีคำสั่งว่า การย้ายที่รัฐบาลทำไปก่อนหน้านี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยังไม่ชัดเจนว่า จะมีการอุทธรณ์ในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ แต่หากดูตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายก็จะพบว่าโอกาสที่จะไม่เป็นไปตามที่ศาล ได้มีคำสั่งไว้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องยากซะเหลือเกิน ประเด็นคืนเก้าอี้เลขาธิการสมช.นี้ พุ่งเป้าไปที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโดยตรง นอกจากนี้ยังปรากฏความเคลื่อนไหวของ “มวลชน” ซึ่งกำลังแพร่กระจายกลายเป็นกระแส “ต่อต้าน” รัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏการณ์ “หน้ากากขาว” และความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกว่า “ไทยสปริง” คือการรวมตัวเพื่อกดดันรัฐบาลให้เดินหน้าทำงานมากกว่าจะมัวแต่หาช่องทางและ จังหวะทางการเมืองเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง ปรากฏการณ์ “หน้ากากขาว” และ “ไทยสปริง” ไม่ได้มีเป้าหมายที่การไล่รัฐบาลแต่มีเป้าหมายที่การ “ต่อต้านระบอบทักษิณ” ซึ่งเป็นภาพที่ใหญ่กว่า ขณะที่ภาพของรัฐบาลนั้นถูกมองว่าเป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ของระบอบทักษิณเท่านั้น เหรียญนั้นมี 2 ด้าน เมื่อด้านหนึ่งเคลื่อนไหว อีกด้านซึ่งหล่อเลี้ยงมวลชนเพื่อปกป้องรัฐบาลพร้อมกับสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมก็เริ่มเคลื่อนไหว ขณะที่ฝ่ายหนึ่งเคลื่อนไหวตามกรอบกติกาของกฎหมาย แต่อีกฝ่ายซึ่งเรียกตัวเองว่าผู้รักประชาธิปไตย กลับแสดงออกทางการเมืองในลักษณะที่เกินกว่าคำว่าประชาธิปไตย การไปเคลื่อนไหวต่อต้านเวทีทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ที่จ.ลำพูน น่าจะเป็นสัญญาณให้เห็นว่า ฝ่ายมวลชนทางการเมืองนั้นพร้อมจะเผชิญหน้ากันได้ทุกขณะ ยิ่งการทำร้ายกันที่จ.เชียงใหม่ ยิ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่า ความแตกแยกกำลังจะกลับมา รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งวันนี้สถานะหนึ่งคือยืนอยู่อีกฝ่าย แต่อีกสถานะคือเป็นรัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่มจะต้องจัดการและ แก้ไขเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปกว่านี้ เพราะแค่เริ่มเคลื่อนไหวยังเผชิญหน้ากันขนาดนี้ หากสถานการณ์ไปถึงจุดที่จะต้อง “แตกหัก” จริง ๆ สถานการณ์จะรุนแรงกว่านี้หลายเท่าตัว ผลของการเคลื่อนไหวและประเด็นที่ร้อนแรงก่อนเปิดสภา กำลังจะถูก “ทดสอบ” ผ่านการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 12 ดอนเมือง เพราะ “ผลการเลือกตั้ง” จะเป็นเครื่องมือวัดอารมณ์ทางการเมืองได้ระดับหนึ่งว่า อยากจะเห็นสถานการณ์การเมืองเดินหน้าไปทางใด ถ้าเลือกรัฐบาลก็แน่นอนว่า 3 เรื่องร้อนนั้น เดินหน้าต่อแน่ แต่หากเลือกฝ่ายค้าน โอกาสของการชะงักงันก็น่าจะมีขึ้นไม่มากก็น้อย สถานการณ์ที่เคลื่อนไหวกันอยู่ทั้ง 2 ฝ่ายในช่วงเวลานี้และเรื่อยไปจนถึงวันเปิดสภา จึงเป็นการโหมโรงก่อนที่จะมีการ “สัปะยุทธ์” กันเกิดขึ้น พรรคการเมือง มวลชน อำนาจ ฝ่ายหนึ่งมีพร้อมอยู่แล้ว ขณะที่อีกฝ่าย จากที่มีแต่พรรคการเมืองก็เริ่มมี “มวลชน” ปรากฏตัวขึ้นแม้จะเป็นในลักษณะ “มุมกลับ” ก็ตาม ถ้าสถานการณ์ยังเดินไปอย่างนี้ ที่ใครต่อใครสวมวิญญาณโหร “ฟันธง” ไว้ว่า ปลายปีนี้ได้ “เห็นหน้าเห็นหลัง” กันแน่นั้น มีโอกาสจะเกิดขึ้นอย่างสูงยิ่ง. ขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/politics/212115
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)